Buddhist Study   ธรรมจาริกในศรีลังกา   บทที่3
โดย  นีน่า  วัน   กอร์คอม   
แปลโดย  พ.อ. ดร. ชินวุธ   สุนทรสีมะ
   

 

home

ปัญหาถาม-ตอบ

หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก

ถาม-ตอบจากหนังสือ


 
บทที่ ๓

ทานและศีล สามารถกระทำได้โดยปราศจากปัญญาหรือโดยปัญญา   เมื่อเป็นการกระทำด้วยปัญญาก็เป็นกุศลขั้นสูงขึ้น ภาวนาหรือการอบรมจิตใจก็เป็นกุศลอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถที่จะเจริญขึ้นได้โดยปราศจากปัญญา

ภาวนามีสองชนิด   คือ   สมถภาวนาหรือการอบรมจิตให้สงบ   และวิปัสสนาภาวนา หรือการอบรมเจริญปัญญา   ภาวนาทั้งสองนี้ต้องอาศัยปัญญา   แต่ปัญญาในสมถภาวนานั้นต่างจากปัญญาในวิปัสสนาภาวนา   ภาวนาทั้งสองชนิดนี้มีความมุ่งหมายและข้อปฏิบัติต่างกัน   สมถภาวนามุ่งหมายให้จิตสงบ สมถภาวนาระงับกิเลสได้เพียงชั่วคราว แต่ดับกิเลสไม่ได้

สมถภาวนาเป็นการเจริญกุศลทางหนึ่ง ผู้ที่เห็นโทษของอกุศลย่อมต้องการอบรมปัจจัยของกุศลให้มากขึ้น โอกาสที่จะให้ทานหรือรักษาศีลนั้นไม่ได้เกิดอยู่เสมอ แต่ถ้าได้เข้าใจการเจริญสมถะ ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้จิตสงบแม้ในชีวิตประจำวัน

ความสงบคืออะไร เป็นความเพลิดเพลินกับธรรมชาติ ฟังเสียงนกร้อง อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เงียบสงบกระนั้นหรือ สิ่งที่เราเรียกกันในภาษาธรรมดา ๆ ว่า “ความสงบ” นั้นไม่ใช่ความสงบที่เกิดจากสมถภาวนา    ความสงบที่เกิดจาก
สมถภาวนานั้นจะต้องเป็นกุศล   เพราะว่าสมถะเป็นการอบรมจิตใจทางหนึ่ง   แต่ในขณะใดที่มีความยึดมั่นถือมั่นขณะนั้นย่อมไม่สงบ    บางคนอาจชอบเงียบ ๆ   และถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาก็มักจะไปทึกทักเอาควางสงบที่ไม่เป็นกุศลนั้นว่า เป็นความสงบที่เป็นกุศล    บางคนอาจคิดไปว่าในขณะที่ไม่มีทั้งโสมนัสและโทมนัส มีแต่ความรู้สึกเฉย ๆ นั้นคงจะต้องมีความสงบด้วย   ความรู้สึกเฉย ๆ นั้นอาจเกิดขึ้นกับกุศลจิตก็ได้   แต่ก็อาจเกิดกับอกุศลจิตได้เหมือนกัน    ความรู้สึกเฉย ๆ อาจเกิดขึ้นกับโลภมูลจิต (จิตที่มีความโลภเป็นรากฐาน)   และเกิดกับโมหมูลจิต (จิตที่มีความหลงเป็นมูลฐาน) ได้เสมอ    ด้วยเหตุที่เป็นการยากที่จะรู้อย่างชัดแจ้งว่า ขณะใดจิตเป็นกุศล และขณะใดเป็นอกุศล   การจำแนกจิตของคนเราอย่างละเอียดจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นในการเจริญสมถภาวนา   ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าปัญญาเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

กุศลจิตทุกดวงสงบ (ความสงบที่เกิดกับโสภณจิต (จิตที่ดีงาม) ได้แก่เจตสิกสองอย่าง คือ   กายปัสสัทธิ (กายในที่นี้คือนามกาย) เป็นเจตสิกที่ทำความสงบแก่เจตสิก ๑  และจิตตปัสสัทธ   เป็นเจตสิกที่ทำความสงบแก่จิต ๑)     ในขณะที่เรามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือขณะที่รักษาศีล   เราก็เป็นอิสระจาก
โลภะ  โทสะ   และโมหะ   และนั่นก็คือความสงบ   ในขณะที่มีปัญญารู้ลักษณะของความสงบ ก็จะสามารถเจริญความสงบได้ยิ่งขึ้น   และนั่นก็คือสมถะ

หากผู้ใดมีปัญญารู้ลักษณะของความสงบและรู้อารมณ์ของความสงบ ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตสงบยิ่งขึ้นได้   เราจะเห็นว่าความเข้าใจซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการเจริญสมถะนั้น ไม่ใช่ความเข้าใจแต่เพียงในทางทฤษฎีเท่านั้น   ผู้เจริญสมถะจะต้องเรียนรู้ลักษณะของความสงบจากการปฏิบัติ   และจะต้องรู้อย่างแน่นอนด้วยว่าขณะใดจิตเป็นกุศลและขณะใดเป็นอกุศล

ในระหว่างการประชุม   เราได้นำมาอภิปรายกันหลายครั้งหลายหนถึงคำว่า   สมาธิ    กล่าวโดยทั่วไปแล้วคนเรามักจะคิดว่า การนั่งในที่สงัดและพากเพียรอย่างเต็มที่ที่จะให้จิตตั้งมั่น เป็นการทำสมถะ    เขาอาจจะพยายามอย่างมากที่จะให้จิตตั้งมั่น   แต่จิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นจิตชนิดใดเล่า   จิตตั้งมั่นด้วยความโกรธที่จิตเป็นสมาธิได้ยากนั้นหรือ   จิตตั้งมั่นด้วยโลภะและโมหะอย่างนั้นหรือ    นอกจากนั้นยังเป็นการไม่ถูกต้องด้วยเมื่อคิดว่าเป็น “สมาธิของเรา”

เราไม่ควรลืมว่าสมาธิหรือสภาพตั้งมั่น (เอกัคคตาเจตสิก) นั้นเกิดกับจิตทุกดวง   เอกัคคตาเจตสิกทำกิจตั้งมั่นในอารมณ์เดียว   ขณะเห็นมีการตั้งมั่นที่สิ่งที่ปรากฎทางตา   ขณะที่ขัดเคืองใจก็มีการตั้งมั่นในสิ่งที่ขัดเคืองใจนั้น   เมื่อกระทำทานก็มีการตั้งมั่นในเรื่องทานนั้น   เมื่อรักษาศีลก็มีการตั้งมั่นในเรื่องศีล   เมื่อเจริญสมถะก็มีการตั้งมั่นในอารมณ์ของสมถะ โดยไม่จำเป็นต้องคิดถึงสมาธิเลย   ถ้าหากมุ่งจดจ้องให้เกิดสมาธิแล้ว   ก็ย่อมจะมีอภิชฌาและโทมนัสเกิดขึ้น

เมื่อมีความเข้าใจถูกในจุดประสงค์ของสมถภาวนา และมีปัจจัยให้เกิดความสงบยิ่งขึ้นแล้ว สมาธิก็จะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องพยายามจดจ้องเลย   ถ้าผู้ใดสามารถเจริญความสงบขั้นสมถะได้ ก็ย่อมเป็นเพราะเหตุปัจจัยที่ได้เคยเจริญสมถะมาแล้วในอดีต

ความสงบมีหลายขั้น   ในสมัยพุทธกาลมีคนมากมายที่มีเหตุปัจจัยให้บรรลุถึงฌาน (อัปปนาสมาธิ)    ในขณะที่ฌานจิตเกิดนั้นจะไม่มีการรู้กามอารมณ์   และโลภะ  โทสะ   และโมหะก็จะระงับไปชั่วขณะ

เราจะเจริญสมถะในชีวิตประจำวันได้หรือไม่   ในเมื่อไม่ได้ปลีกตนออกไปอยู่ในที่วิเวกและไม่มีปัจจัยให้บรรลุฌาน ก็ยังมีความสงบได้บ้างในชีวิตประจำวัน    วิสุทธิมรรค (บทที่ ๔-๑๒) ได้กล่าวถึงสมถกรรมฐาน ๔๐   ที่เป็นอารมณ์ของความสงบ

การพิจารณาซากศพ สำหรับบางคนอาจเป็นเหตุให้เกิดความไม่สบายใจ   แต่ถ้าหากพิจารณาอย่างถูกต้องก็ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกุศลจิตที่สงบได้   บางคนอาจตระหนักความจริงว่าร่างกายของคนเราก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ ที่ประกอบไปด้วยรูปซึ่งไม่รู้อะไรเลยและไม่ใช่ตัวตน    รูปเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปไม่คงทนถาวร   ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า   ปัญญาต่างหากที่เป็นปัจจัยให้เกิดความสงบ   หาใช่การจดจ้องไม่

อานาปานสติ การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นอีกกรรมฐานหนึ่งในสมถกรรมฐาน ๔๐    วิสุทธิมรรคได้อธิบายไว้ว่า เป็นกรรมฐานที่ยากยิ่ง   เป็นกรรมฐานที่ยากที่สุดกรรมฐานหนึ่งทีเดียว   จะต้องมีความเข้าใจถูกเรื่องลมหายใจเข้าออก
หาไม่แล้วจิตจะสงบไม่ได้    สภาพธรรมที่เราเรียกว่าลมหายใจนั้นเป็น “รูป”  ซึ่งมีจิตเป็นสมุฎฐาน   รูปที่ร่างกายมีกรรมบ้าง มีจิตบ้าง มีอุตุบ้าง หรือมีอาหารบ้างเป็นสมุฎฐาน

เรายึดมั่นในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สมบัติ   แต่ถึงอย่างไรชีวิตของเราก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยเล็ก ๆ ที่เป็นลมหายใจนี้เท่านั้น
ตราบใดที่เรายังหายใจเข้า หายใจออก เราก็ยังมีชีวิตอยู่   แต่เมื่อเราผ่อนลมหายใจครั้งสุดท้ายแล้วก็เป็นอันจบสิ้นชีวิตลง   เมื่อนั้นสมบัติพัสถานทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เราเล่า   สิ่งต่าง ๆ ที่เรายึดมั่นจะมีประโยชน์อันใดเล่า    ขณะที่สติระลึกรู้ลมหายใจด้วยปัญญานั้นจิตก็จะสงบ   ท่านที่มีเหตุปัจจัยที่จะบรรลุฌานก็จะเจริญความสงบจนถึงขั้นฌานได้   แต่ถ้าเจริญอานาปานสติไม่ถูกทางแล้ว   ก็ไม่ใช่สมถภาวนาเลย   ถ้าหากไม่รู้จริงว่าขณะใดจิตเป็นอกุศล และกุศลแล้ว   เราก็จะทึกทักสิ่งที่ไม่ใช่สมถภาวนาว่าเป็นสมถภาวนา    เราชอบลมหายใจของเรา และอยากจดจ้องลมหายใจ   เพราะว่าทำให้เรารู้สึกสุขใจกระนั้นหรือ   นั่นไม่ใช่ความสงบ   แต่เป็นการยึดมั่นถือมั่น

ลมหายใจเป็นสภาพละเอียดอ่อน   และไม่ใช่ว่าทุกคนจะระลึกรู้ได้   ยากที่จะรู้ว่าเมื่อใดสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นลมหายใจ
และเมื่อใดไม่ใช่ลมหายใจ แต่เป็นสิ่งที่เราเรียกว่า อ๊อกซิเจน เราจะรู้ลมหายใจได้ตรงที่ลมหายใจไปกระทบปลายจมูก หรือริมฝีปากบน    ส่วนเวลาที่เราตามดูการเคลื่อนไหวขึ้นลงของท้องนั้นไม่ใช่สติที่ระลึกรู้ลมหายใจ   หากเราไม่มีปัจจัยที่จิตจะสงบด้วยกรรมฐานนี้ก็ไม่ควรจะฝืนทำ   เพราะว่าการเจริญสมถะนั้นเราควรเลือกกรรมฐานที่เป็นสัปปายะ   คือกรรมฐานที่ทำให้เกิดกุศลจิตที่สงบ   ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมฐานที่เหมาะกับแต่ละบุคคล   ด้วยเหตุนี้จึงมีสมถกรรมฐานถึง ๔๐ กรรมฐาน

พุทธานุสติ   ธรรมานุสติ   และสังฆานุสติก็เป็นสมถกรรมฐานด้วยเช่นกัน   เราสักการะพระพุทธ  พระธรรม   และ พระสงฆ์ เพราะได้รับการอบรมมาเช่นนั้น   โดยไม่เข้าใจพระคุณของพระผู้มีพระภาคและพระธรรม   จิตอาจจะเป็นกุศลแต่ก็ไม่ใช่ขั้นภาวนา   ความเข้าใจถูกในอารมณ์กรรมฐานเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งสำหรับการภาวนา   ถ้าเข้าใจพระคุณของพระพุทธองค์และพระสัทธรรมของพระองค์แล้ว ก็อาจจะเป็นปัจจัยให้จิตสงบและใสสะอาดปราศจากโลภะ โทสะ และโมหะได้หลายขณะจิต   ซึ่งเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันโดยไม่จำเป็นต้องไปยังที่วิเวก    ข้อสำคัญคือความเข้าใจถูก   และถ้าไม่มีความเข้าใจถูกแล้วสถานที่วิเวกก็จะไม่เป็นสัปปายะเลย   ถ้าใครนั่งหน้าพระพุทธรูปและภาวนาคำว่า “พุทโธ พุทโธ โดยปราศจากปัญญา   กุศลจิตอาจเกิดขึ้นได้   แต่ก็ไม่ใช่กุศลขั้นภาวนา

พรหมวิหาร อันประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา (ความพลอยยินดี) และอุเบกขา (ความวางเฉย)  เป็นสมถกรรมฐาน    แต่กรรมฐานเหล่านี้ก็เจริญไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญาที่รู้ลักษณะของคุณธรรมเหล่านี้   บางคนอาจท่องกรณีย
เมตตสูตรในตอนเช้า   แต่ถ้าเขาไม่ได้เจริญเมตตาในขณะที่อยู่กับคนอื่น ๆ แล้ว   เขาจะรู้ลักษณะของเมตตาได้หรือ   ถ้าผู้ใดไม่รู้ลักษณะของเมตตา   เขาจะเจริญเมตตาเป็นอารมณ์ของสมถะได้อย่างไร

เมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ก็ควรเจริญเมตตา   และควรจะศึกษาให้รู้ว่าขณะใดมีโลภะซึ่งเป็นอกุศล   และขณะใดมีเมตตาซึ่งเป็นกุศล    จะต้องรู้ความต่างกันของโลภะ กับ เมตตาอย่างชัดเจน

เราอาจข้องใจว่าจะเป็นไปได้หรือที่เราจะเจริญเมตตาต่อ
ญาติ ๆ ของเรา   เพราะว่าจะไม่มีความผูกพันด้วยได้หรือ   เราเจริญเมตตาต่อญาติได้ในเมื่อเราไม่ถือว่าเขาเป็นเครือญาติของเรา   แต่ถือว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ซึ่งเราใคร่ที่จะเมตตาและมีน้ำใจต่อเขา

สำหรับความกรุณานั้น   เราแน่ใจไหมว่าขณะใดมีความกรุณาจริง ๆ   เราอาจหลงเข้าใจว่าความไม่สบายใจเป็นความกรุณาไปก็ได้   เช่น   ขณะที่เห็นคนเตะสุนัขก็ไม่พอใจ
ขณะที่เป็นความกรุณาจริง ๆ นั้นจะมีความขัดเคืองใจในขณะเดียวกันไม่ได้    กุศลจิตที่มีความกรุณานั้นปราศจาก
โลภะและโทสะ    ขณะที่เป็นเมตตาจริง ๆ กรุณาจริง ๆ หรือพรหมวิหารอื่น   ความสงบด้วยพรหมวิหารเหล่านี้ก็จะเจริญยิ่งขึ้นได้   นั่นคือ  ภาวนา   ถ้าหากเราเข้าใจสมถภาวนาอย่างถูกต้อง ก็ย่อมจะเป็นทางเจริญกุศลที่ปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน    ฉะนั้นการศึกษาสมถกรรมฐาน ซึ่งอธิบายไว้ใน “วิสุทธิมรรค”   จึงมีประโยชน์ควรแก่การศึกษา   เราอาจจะคิดไปว่าจะปฏิบัติได้ก็ต่อเมื่ออยู่อย่างวิเวก   ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าพระภิกษุเป็นจำนวนมากในสมัยพุทธกาลอยู่ในป่า   ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องไปอยู่ป่าหรือในที่วิเวก
ที่พระภิกษุเหล่านี้นอยู่ตามป่าก็เพราะเป็นอุปนิสัยของท่าน   เป็นความพึงพอใจของท่านอย่างนั้น   ท่านได้เจริญสมถะจนถึงขั้นฌานได้ ก็เพราะท่านมีเหตุปัจจัยที่จะบรรลุความสงบขั้นสูงอย่างนั้น   แต่ถึงแม้ว่าผู้ใดจะไม่ได้อยู่ป่าเป็นปกติ   ก็ยังอาจมีเหตุปัจจัยให้เกิดความสงบได้หลาย ๆ ขณะ ในชีวิตประจำวันทุกวันนี้คนที่จะบรรลุฌานมีไม่มาก   และไม่มีใครรู้ว่าได้มีคนบรรลุได้หรือเปล่า    แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะไม่บรรลุฌาน   การที่จิตสงบก็มีคุณค่ากว่าอกุศลจิตทั้งหลาย
สมถะเป็นกุศลขั้นสูง

สมถกรรมฐานอีกอย่างหนึ่งก็คือ “กายคตาสติ”  ได้แก่  “ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง…”   ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่ปรากฎแก่เราในวันหนึ่ง ๆ หรอกหรือ   แทนที่จะมีโลภะ หรือโทสะ   เราก็จะสงบได้ชั่วขณะถ้าหากเข้าใจกายคตาสติถูกต้อง    เรายึดมั่นร่างกาย และคิดว่าสวยงาม   แต่ถ้าเราพิจารณาร่างกายเป็นส่วน ๆ ไป   เราก็อาจจะเห็นได้ว่าไม่มีความงามอะไรเลย   เป็นแต่เพียงธาตุต่าง ๆ เท่านั้น   เวลาเราสระผมหรือตัดเล็บก็อาจสงบได้ชั่วขณะ   เมื่อพิจารณา “ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย”   เราสามารถเจริญกายคตาสติได้ในชีวิตประจำวัน

สมัยก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สมถภาวนาเป็นกุศลขั้นสูงที่สุด   ตามที่ได้ทราบแล้วว่าปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญในการเจริญสมถะ   ปัญญาขั้นสมถะ รู้ความต่างกันของกุศลจิตและอกุศลจิตอย่างชัดเจน   และรู้เหตุปัจจัยที่จิตจะสงบได้   สมถะเป็นหนทางอันหนึ่งที่จะทำให้ปราศจาก
โลภะ โทสะ และโมหะได้ชั่วขณะ   แต่อย่างไรก็ตามปัญญาขั้นสมถะนั้นไม่รู้สภาพที่แท้จริงของธรรมว่าเป็นอนิจจัง
ทุกขัง และอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)   และดับกิเลศไม่ได้
ฉะนั้นปัญญาขั้นสมถะจึงต่างกับปัญญาที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา   ปัญญาที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนาเท่านั้นที่จะสามารถดับความเห็นผิดในเรื่องตัวตน   และกิเลสต่าง ๆ ได้เป็นสมุจเฉท

 

 

 

home      ปัญหาถาม-ตอบ       หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก     ถาม-ตอบจากหนังสือ

หมายเหตุ: คัดลอกจากหนังสือ  "ธรรมจาริกในศรีลังกา"
โดย  Nina Van Gorkom
แปลโดย  พ.อ. ดร. ชินวุธ   สุนทรสีมะ
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

 

Click Here!