Buddhist Study
home หนังสือธรรมะ พระไตรปิฎก ถาม-ตอบจากหนังสือ อ่านหนังสือธรรมะ
ปัญหาถาม-ตอบ
กรุณาคลิกที่คำถามเพื่ออ่านคำตอบ
ไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมหรือมีปัญญารู้ธรรมได้เองโดยไม่ต้องศึกษาธรรมะ เพราะปัญญาของเรานั้นมีจำกัด ไม่สามารถเทียบได้กับพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงบำเพ็ญบารมีมานานหลายอสงไขยหลายกัป จนสามารถตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เราทุกคนจึงต้องศึกษาธรรมะที่พระองค์ทรงตรัสรู้ โดยอาศัยพระไตรปิฎก ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะต้องอาศัยทั้งปัญญาและความเพียรอย่างสูงในการที่จะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งไม่คลาดเคลื่อน
เพียงการถือศีลและนั่งสมาธิไม่อาจทำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ เพราะการถือศีลหรือนั่งสมาธิไม่สามารถทำให้รู้ธรรมะอะไรขึ้นมาได้ ส่วนคนที่นั่งสมาธิแล้วเห็นนั่นเห็นนี่หรือรู้นั่นรู้นี่ ก็มักเกิดจากการคิดนึก คาดคะเน หรือไตร่ตรองเอาเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะผิดมากกว่าถูก ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราศึกษาและเข้าใจธรรมะ ซึ่งปัญญาที่เกิดก็มีหลายละดับตามการสะสมของแต่ละคน
คำถาม-ตอบต่อไปนี้จากหนังสือ "ตอบปัญหาธรรม" โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จะช่วยเพิ่มความกระจ่างในเรื่องนี้ได้
"ถาม - เมื่อนั่งวิปัสสนามีจิตออกจากจมูกไปขึ้นสมองแล้วลงไปในกายตํ่าลง เห็นตับไตเครื่องในหมด แล้วออกเดินไปพบผู้หญิงผู้ชาย 2 คนบอกว่าเดินไปทางนี้ แล้วไปเจออีกคนหนึ่งนุ่งขาวห่มขาว แล้วจึงกลับมาเข้าร่าง ทุกวันนี้ถ้าว่างก็จะไปนั่งภาวนาอย่างนี้ว่า สัมมาอะระหัง อยากเห็นพ่อก็ได้เห็น อยากเห็นแม่ก็ได้เห็น แต่ไม่รู้ว่าทำไมจึงเห็นและเพราะอะไร
ตอบ - ที่ถามเพราะไม่รู้ ความไม่รู้ไม่ใช่ปัญญา ไม่ว่าจะไปนั่งทำอะไร เมื่อทำแล้วก็ไม่รู้อะไร ก็ไม่ควรจะทำต่อไป เพราะทำเท่าไรก็ไม่รู้อยู่นั่นเอง.........ถ้านั่งแล้วเห็นสิ่งที่อยากเห็นแต่ไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย.......ควรอบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมในขณะนี้ ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่น ซึ่งก็จะต้องศึกษาตามลำดับตั้งแต่ขั้นต้นจริงๆ เช่นเดียวกับการเรียนวิชาอื่นๆ.........การศึกษาสภาพธรรมเป็นการเรียนรู้เรื่องตัวเองและทุกสิ่งในโลก และสามารถเข้าใจเพิ่มขึ้น ชัดขึ้น จนประจักษ์แจ้งจริงๆ ไม่ใช่ให้ไปเห็นสิ่งต่างๆ เช่น กำลังนั่งอยู่ ก็กลับเห็นว่ากำลังเดินออกไป ฯลฯ ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย
ถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ก็ต้องรู้ว่ากำลังนั่งอยู่ และรู้ว่ามีสภาพธรรมใดปรากฏเกิดขึ้นแล้วดับไป หมดไป จึงจะถูกต้อง วิปัสสนามิใช่การนั่ง วิปัสสนาคือปัญญาซึ่งรู้สภาพธรรมได้ตามปกติตามความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องนั่ง ยืนหรือเดินหรือนอนก็รู้ได้ ฉะนั้นไม่ควรจะใช้คำว่า วิปัสสนา เมื่อไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามปกติในชีวิตประจำวัน"
แม้การศึกษาธรรมะจากพระอาจารย์ต่างๆจะง่ายกว่าการศึกษาจากพระไตรปิฎกก็ตาม แต่โอกาสผิดเพี้ยนก็มีมากกว่าด้วย เพราะถ้าเราไม่เคยศึกษาพระไตรปิฎก เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคำสอนเหล่านั้น เป็นคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าหรือไม่ จึงควรจะเริ่มศึกษาธรรมะโดยอาศัยพระไตรปิฎกเป็นหลัก โอกาสที่จะพลาดย่อมมีน้อยกว่าที่จะเชื่อถือผู้ใดผู้หนึ่ง โดยปราศจากบรรทัดฐานในการอ้างอิง
ต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอนจากหนังสือ "กรณีธรรมกาย เอกสารเพื่อพระธรรมวินัย" โดย พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ซึ่งจะช่วยตอบคำถามนี้ให้กระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น
"พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ธรรมวินัยที่ทรงแสดงแล้วและบัญญัติแล้ว แก่สาวกทั้งหลายนั้น จะเป็นศาสดาแทนพระองค์สืบต่อไป ธรรมวินัยนั้นเวลานี้อยู่ที่ไหน ก็รักษาไว้ในพระไตรปิฎก............ถ้าศาสนิกชนปฏิเสธพระไตรปิฎก หรือไม่ยอมรับพระไตรปิฎกก็คือไม่ยอมรับพระพุทธศาสนา"
"พระพุทธศาสนาแบบที่เรานับถือกันอยู่......เรียกว่าพระพุทธศาสนาเถรวาท หรือบางทีก็ถูกเรียกว่า หินยาน........พระไตรปิฎกภาษาบาลีของเถรวาทนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นคำสอนดั้งเดิมแท้ของพระพุทธเจ้า เก่าแก่ที่สุดเท่าที่จะสืบหาได้ แล้วรักษากันมาอย่างเคร่งครัด ทั้งแม่นยำที่สุดและครบถ้วนที่สุด"
"ใครก็ตามที่กล่าวอ้างว่าตนปฏิบัติได้โดยไม่ต้องอาศัยพระไตรปิฎก ก็คือพูดว่า ตนปฏิบัติได้โดยไม่ต้องอาศัยพระพุทธเจ้า.........เราจะเรียกการปฏิบัตินั้นว่าเป็นพระพุทธศาสนาได้อย่างไร แน่นอนว่านั่นเป็นการปฏิบัติลัทธิความเชื่อหรือความคิดเห็นของตัวเขาเอง หรือของใครอื่นที่คิดข้อปฏิบัตินั้นขึ้นมา หรืออย่างดีก็เป็นความที่เอามาเล่าต่อจากพระไตรปิฎก แบบฟังตามๆกันมา ซึ่งเสี่ยงต่อความคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยน"
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าการสะสมมาของแต่ละบุคคลนั้นต่างกัน
และเราไม่สามารถจะไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าได้
เพราะได้ทรงบำเพ็ญบารมีมานานนับอสงไข
อีกอย่างก็คือ แม้ในครั้งพุทธกาล
ก็ยากที่จะหาผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้โดยการนั่งสมาธิ
ซึ่งปัญญาของผู้คนในเวลานั้นสูงกว่าในเวลานี้มาก
ส่วนใหญ่จะบรรลุธรรมโดยการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ความจริงที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ ในชีวิตประจำวันของเรานั้น จะมีสักกี่ครั้งที่เราสามารถกำหนดลมหายใจ หรือมีเวลานั่งสมาธิได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าน้อยมาก และถึงแม้ว่าจะหาเวลาได้ ปัญญาที่เกิดก็ไม่อยู่ในขั้นที่จะทำให้ละกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เปรียบเหมือนเป็นเพียงการเอาหินไปทับหญ้าไว้ ไม่ได้ถอนรากโคนให้หมดสิ้น จึงมีโอกาสที่หญ้าจะงอกขึ้นอีก เมื่อไม่มีหินทับอยู่
ในครั้งพุทธกาลก็มีผู้ที่นั่งสมาธิจนสามารถเหาะเหินเดินอากาสได้ แต่อิทธิฤทธ์ที่สะสมมาก็หมดสิ้นไปในพริบตาเพียงแค่ได้เห็นหญิงเปลื้องผ้าเท่านั้น
จากที่กล่าวมานี้ คงจะพอเห็นได้ว่า การนั่งสมาธิหรือเจริญอานาปานสติคงจะไม่ใช่หนทางของคนส่วนใหญ่ ในการที่จะบรรลุธรรม
การที่เราจะทำอะไรเราควรจะรู้เหตุผลและจุดประสงค์ ของการกระทำนั้นเสียก่อน ดังข้อความบางตอนจากหนังสือ "ตอบปัญหาธรรม" โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์
"การเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา มีจุดประสงค์ที่ต่างกันที่ สมถภาวนาเป็นการเจริญกุศลด้วยปัญญาที่เห็นโทษของจิตที่ไม่สงบ ผู้ที่มีปัญญาจะรู้ว่า เมื่อเห็นสิ่งใดก็ไม่สงบด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เมื่อได้ยินเสียงก็ไม่สงบด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ผู้จะเจริญสมถภาวนาเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ สามารถรู้ขณะที่เป็นอกุศลจิตว่าต่างกับขณะที่เป็นกุศลจิต จึงมีปัญญารู้ว่าจิตจะสงบเป็นกุศลได้เมื่อตรึกถึงอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบขึ้นๆได้อย่างไร ฉะนั้นการเจริญสมถภาวนาจึงมีจุดประสงค์ให้จิตสงบเป็นกุศล มั่นคงขึ้นๆ จนเป็นสมาธิขั้นต่างๆ
ส่วนการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น เป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยตามปกติ ตามความเป็นจริง จนปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท"
home หนังสือธรรมะ พระไตรปิฎก ถาม-ตอบจากหนังสือ อ่านหนังสือธรรมะ
12/03/01