Buddhist Study   Special: ทรรศนะของพระพุทธศาสนาต่อสตรีและการบวชเป็นภิกษุณี
โดย  พระธรรมปิฎก

จาก นสพ. ไทยโพสต์
   

 

home

ปัญหาถาม-ตอบ

หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก

ถาม-ตอบจากหนังสือ


 

17 พฤษภาคม 2544    

ไม่รู้จักพระไตรปิฎก - อรรถกถา จะพูดเรื่อง พระพุทธศาสนาได้อย่างไร

ถาม : อรรถกถานี่มาถึงยุคสมัยที่เชียงใหม่ด้วยไหมค่ะ
ตอบ : ไม่ๆ  อรรถกถาแค่ พ.ศ.900 เศษ คัมภีร์ยุคหลังอย่างที่ เชียงใหม่นี้แยกตอนไปเลย คัมภีร์ยุคหลังนี่เป็นคัมภีร์เบ็ดเตล็ด
ถาม :  วันก่อนอ่านธรรมสังคณี  (หมายถึง อัฏฐสาลินี ที่เป็นอร รถ-กถาของธรรมสังคณี) ยังกล่าวถึงวิสุทธิมรรค แสดงว่าอรรถกถานี่ก็ต้องหลัง วิสุทธิมรรคแล้ว
ตอบ :  อย่าไปพูดอย่างนั้นเด็ดขาด   เป็นการอ้างอิงกันไปมา   ที่จริงนั้นอรรถกถาเป็นของสืบเนื่องมาเรื่อยๆ   ตั้งแต่พุทธกาล   อย่าไปจำกัดว่า แต่งเมื่อนั้นตายตัว ก็มีการพูดแบบว่าเมื่อนั้นเมื่อนี้เหมือนกัน ซึ่งหมายถึงตอน ที่ปิดรายการ   คือ  พ.ศ.900 เศษ อย่างที่ว่าแล้ว อรรถกถานั้นเริ่มกำเนิดแล้วสืบ ต่อมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า คือเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ก็นำมาสอนลูกศิษย์
เมื่อสอนลูกศิษย์ก็ต้องอธิบาย   ลูกศิษย์ก็มีความรู้มากบ้าง   ไม่มากบ้าง   พระอาจารย์ก็อธิบายว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้   คำนั้นมีความ หมายว่าอย่างนี้   อะไรอย่างนี้   ท่านก็อาจจะเล่าเรื่องประกอบของท่านเองด้วย แต่คำอธิบายของท่านไม่สามารถจะเข้าไปอยู่ในพระไตรปิฎก   พระไตรปิฎกนี่ ท่านกวดขันระมัดระวังมาก ให้รักษาไว้ตามเดิม เมื่อท่านอธิบายไป ลูกศิษย์ก็นำสืบต่อกันมา และถือเป็นสำคัญ คือเรื่องของการที่ต้องการรู้ว่าพระ พุทธเจ้าตรัสอย่างนี้มีความหมายอย่างไร นี่เป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้า ของพระภิกษุทั้งหลาย ฉะนั้นท่านจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ท่านจึงกำหนด จดจำไว้ พออาจารย์ใหญ่สิ้นไป ลูกศิษย์ที่มีความรู้เป็นพหูสูตก็ขึ้นมาแทน   แล้วก็สืบทอดคำอธิบายต่อกันมา   กลายเป็นประมวลที่สืบกันมาโดยปากเปล่า แต่อาจจะมีเรื่องเล่าเสริมของอาจารย์รุ่นนั้นๆ อีก
จนกระทั่งมาถึงลังกาก็มีการบันทึกไว้เป็นภาษาสิงหล   เพราะพระลังกาเป็นคณะสงฆ์ใหญ่ที่มีการศึกษาเล่าเรียนพุทธศาสนากันมาก   แล้วก็เป็นศูนย์กลางใหญ่ด้วย สำหรับพระไตรปิฎกนั้นท่านถือว่าสำคัญสูงสุด ท่านก็ต้องรักษาไว้เป็นภาษาเดิม   แต่ยิ่งเป็นภาษาเดิม   การที่จะต้องอธิบายก็ยิ่ง มีความจำเป็น และเป็นเรื่องใหญ่มาก   เพราะพระที่มาเรียนก็ต้องเรียนภาษา บาลีด้วย อีกทั้งบาลีพุทธพจน์ก็เป็นของนานแล้ว   ตัวเองก็ไม่รู้ความหมายว่า อย่างไร   จึงต้องอาศัยการอธิบายต่อกันมา เพราะฉะนั้นอรรถกถาก็ยิ่งมีความ สำคัญมากขึ้น แต่อรรถกถาเป็นคัมภีร์สื่อที่จะให้เข้าถึงพระไตรปิฎก   เพราะฉะนั้นก็นำสืบกันมาเป็นภาษาสิงหล เพราะจะต้องเป็นคำอธิบายที่ผู้ เรียนจะเข้าใจได้   เพราะฉะนั้นอรรถกถาในลังกาก็เป็นภาษาสิงหล ส่วนพระ ไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี   ก็เป็นมาอย่างนี้จนกระทั่งมาถึงยุคหนึ่ง ประมาณ พ.ศ.900 เศษ พระพุทธศาสนาเถรวาทในอินเดียเสื่อมไปแล้ว    พระพุทธ โฆสาจารย์ที่อยู่ในอินเดียอยากจะได้หลักพระพุทธศาสนาที่แม่นยำจากศูนย์ กลางใหญ่ๆ   ก็รู้ว่าลังกานี่เป็นศูนย์กลางการศึกษา   ทั้งคัมภีร์พระไตรปิฎกและ อรรถกถามีอยู่ที่นั่น
ส่วนในอินเดียกระจัดกระจาย  กระท่อนกระแท่นแล้ว   ท่านก็เลยคิดว่าต้องไปลังกา   แล้วก็ไปแปลอรรถกถาภาษาสิงหลมาเป็นภาษา มคธ  หรือเป็นภาษาบาลี   เพราะว่าคนอินเดียไม่รู้ภาษาสิงหล พระพุทธโฆสา จารย์เดินทางไปอินเดียเพื่อไปแปลอรรถกถานั้น  พอไปถึงลังกาพระผู้ใหญ่ใน ลังกาก็ว่ามาอย่างไร   พระผู้นี้จะมีภูมิรู้พอหรือเปล่า แปลแล้วจะทำให้เสียหาย หรือเปล่า ก็เลยมีการทดสอบความรู้กันก่อนว่ามีภูมิพอไหมที่จะแปลอรรถกถา เป็นภาษามคธ  ท่านก็ทดสอบภูมิโดยให้แต่งหนังสืออธิบายธรรมะขึ้น พระพุทธโฆสาจารย์ก็เลยแต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรคขึ้นมาแสดงภูมิ   พระเถระลังกา ก็จึงยอมรับ และอนุญาตให้แปล พระพุทธโฆสาจารย์ก็แปลอรรถกถาภาษา สิงหลซึ่งเป็นของที่มีสะสมสืบๆ กันมาเป็นภาษามคธ หน้าที่สำคัญของพระ พุทธโฆสาจารย์นี่ก็คือแปลอรรถกถา
ทีนี้บางทีเรามาพูดรวบรัดว่า พระพุทธโฆสาจารย์แต่งอรรถกถา เหล่านี้ไป จะเห็นว่าบางทีมีการอ้างอิงซึ่งกันและกัน   อ้างไขว้กันไปมา แล้วก็มีการแย้งกัน  เช่น อรรถกถาพระสูตรแย้งอรรถกถาวินัยบ้าง อรรถกถา พระสูตรแห่งนี้ก็อาจไปยกมติของอีกแห่งหนึ่งมาแล้วก็แย้งว่าไม่ใช่ อะไรอย่าง นี้
ยกตัวอย่างง่ายๆ   อย่างเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช  อรรถ กถาอปทาน (คือวิสุทธชนวิลาสินี) บอกว่า  ตามอรรถกถาชาดก   เจ้าชายสิ ทธัตถะออกผนวชเมื่อพระราหุลประสูติแล้วได้   7 วัน แต่ข้อความของ อรรถกถาชาดกนั้นไม่ถูกต้อง   ท่านว่าตามอรรถกถาอื่นๆ   เจ้าชายราหุลประสูติ วันนั้น เจ้าชายสิทธัตถะก็บวชวันนั้น   นี่เป็นตัวอย่าง แสดงว่าอรรถกถาเองก็มี การขัดแย้งกัน ถ้าเป็นพระพุทธโฆสาจารย์แต่งขึ้นมา   จะไปแย้งกันทำไม เราจึงต้องมองให้กว้างว่าอรรถกถานี่สะสมมานาน สืบมาแต่โบราณ ถือกันว่าคัมภีร์นิทเทสที่อยู่ในพระไตรปิฎกเอง ที่พระสารีบุตรเป็นผู้แสดงไว้ เป็นต้นแบบของอรรถกถา เพราะว่าคัมภีร์นิทเทสนั้นเป็นคัมภีร์อธิบายพุทธ พจน์  ในสุตตนิบาต  ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเป็นคาถาแสดงหลักธรรมไว้   พระสารีบุตรก็ยกมาบรรยายทีละคาถา ตั้งคาถานี้ขึ้นแล้วก็อธิบายไป จบแล้วก็อธิบายอีกคาถาหนึ่ง   เสร็จแล้วก็อธิบายคาถาต่อๆ   ไป กลายเป็น คัมภีร์นิทเทส ซึ่งเป็นแนวให้กับอรรถกถาในการอธิบายพระไตรปิฎก

 

18 พฤษภาคม 2544    

พระเป็นผู้ไปแจกจ่ายธรรมนำสังคม ให้เป็นผู้รับสงเคราะห์จะ เหมาะสมได้อย่างไร

ถาม : ในพระวินัยจะระบุว่า   ไม่ให้ผู้ที่พิการบวชเป็นพระภิกษุ แต่ในปัจจุบันนี้ก็มีผู้พิการได้บวชเป็นพระภิกษุ เหมือนเป็นการกีดกันคนพิการ และเป็นไปได้ไหมถ้าคนพิการนั้นมีความสามารถในการศึกษาเล่าเรียนวินัยจะ สามารถบวชได้ไหม
ตอบ :   อันนี้เราต้องคำนึงถึงการตั้งคณะสงฆ์ว่ามีจุดมุ่งหมายอย่าง ไร  หนึ่ง เพื่อให้คนมีโอกาสพัฒนาตัวเองในไตรสิกขาได้เต็มที่   แต่สอง เราจะเห็นบทบาทอีกอย่างหนึ่งคือ บทบาทของพระสงฆ์ในการที่จะให้ธรรมะ แพร่ขยายไปเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก   บทบาทเผยแผ่ธรรมนี้สำคัญมาก พระภิกษุที่จะเข้ามานี่เป็นผู้ที่จะไปทำบทบาทนี้   เมื่อมีภิกษุสงฆ์รุ่นแรกที่พระ พุทธเจ้ารับเข้ามาบวชแล้ว   ก็ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาทันที   พอมี 60 รูป ก็ตรัสว่า จรถ ภิกฺขเวจาริกํ … ต่อจากชุดแรก 60 รูป ชุดต่อมาขนาดที่ยังไม่ เป็นอรหันต์หมดก็ออกไปประกาศพระศาสนา  งานของภิกษุตอนนี้ที่สำคัญคือ เรื่องนี้   ซึ่งต้องสัมพันธ์กับสังคมของประชาชน   หมายความว่าออกไปทำ ประโยชน์แก่ประชาชน   ต้องไม่มีภาระกังวล แม้แต่ความห่วงใยทรัพย์สมบัติก็ ไม่มี   แล้วก็ต้องพยายามให้พระภิกษุที่ทำงานนั้นคล่องตัว ไม่เป็นภาระแก่กัน เอง และก็เป็นผู้พร้อมที่จะไปทำบทบาทนี้ทุกรูป    
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงพิจารณาแม้กระทั่งบุคลิก ลักษณะ   ใครมีลักษณะที่เป็นบุรุษโทษ   เป็นลักษณะไม่ดี   ก็ไม่ให้บวช   เพราะอันนี้เป็นประโยชน์ในเชิงสังคม   เป็นการทำหน้าที่ต่อสังคม เมื่อสถาบัน สงฆ์เป็นแหล่งที่คนจะนับถือก็ให้มีลักษณะดีพอสมควร   อันนี้เป็นด้านสำคัญ อย่างหนึ่ง เราไม่มองว่าสถาบันสงฆ์เป็นแหล่งสำหรับสงเคราะห์คนหรือรับคน เข้ามาสงเคราะห์   แต่เป็นแหล่งของคนที่ทำหน้าที่ไปสงเคราะห์คนอื่น   ด้วยการทำงานด้านสติปัญญาในการให้การศึกษา เป็นการทำหน้าที่ต่อสังคม เรื่องนี้ถ้ามองไม่ถูกก็จะกลายไปเลย   อย่างที่เคยมีบางท่านให้ทรรศนะว่า คนเป็นโรคเอดส์น่าจะให้มาบวชเป็นพระ   มาตายในผ้าเหลือง นี่กลายเป็นว่า เอาสถาบันสงฆ์เป็นที่พักพิง เป็นที่สงเคราะห์คนไป เป็นแหล่งรับการ สงเคราะห์ก็ตายน่ะสิ แทนที่พระจะเป็นฝ่ายให้การสงเคราะห์ ไปให้สติ ปัญญาแก่ประชาชน ก็กลับกันเลย
พุทธบริษัท  4  มีอยู่แล้ว ไม่ได้ตัดโอกาส ทุกคนไม่ว่าอยู่ใน พุทธบริษัทไหนก็บรรลุธรรมได้ การจัดที่สงเคราะห์นั้น  สังคมจะต้องจัดขึ้นมา ในรูปแบบต่างหาก   เพื่อจะให้การสงเคราะห์แก่คนเหล่านี้   แต่ต้องสงวนวัตถุ ประสงค์เดิมของสงฆ์ไว้ แม้แต่พระสงฆ์เองนานๆ ไปบางทีก็ลืมงานของตัว เองว่าจะต้องออกไปเป็นผู้ทำหรือให้แก่สังคม    บางทีเรามองพระเป็นปฏิคาหก   คือผู้รับทาน แล้วก็มองแต่ในแง่รับ แล้วก็เพี้ยนไปเลยว่า   พระนี่เป็นผู้คอยแต่ รับทาน   รับบริจาค   ที่แท้นั้นพระเป็นผู้ทำหน้าที่ต่อสังคม โดยให้ปัญญา ให้ธรรมะ เรียกว่าธรรมทาน
แต่เพื่อไม่ให้มีความกังวลด้านวัตถุ   และตัวเองก็มีความต้องการ ทางด้านวัตถุน้อยเพียงเพื่อพออยู่ได้ คฤหัสถ์ก็เลยมาช่วยอุดหนุนทางด้าน ปัจจัย  4   เพื่อว่าพระจะได้อุทิศตัวให้กับงานโดยไม่ต้องมีความกังวลด้านวัตถุ สาระสำคัญมันอยู่ที่นี่ แต่ถ้าเพลินๆ ไป เอาพระมาเป็นผู้รับสงเคราะห์ก็จบ กัน

.........จบ..........

home      ปัญหาถาม-ตอบ       หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก     ถาม-ตอบจากหนังสือ

หมายเหตุ: จากหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์

Click Here!