Buddhist Study   ธรรมจาริกในศรีลังกา   บทที่2
โดย  นีน่า  วัน   กอร์คอม   
แปลโดย  พ.อ. ดร. ชินวุธ   สุนทรสีมะ
   

 

 

home

ปัญหาถาม-ตอบ

หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก

ถาม-ตอบจากหนังสือ


 
บทที่ ๒

สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงบุญกิริยาประการต่างๆ   และกุศลประการหนึ่งก็คือ  ทาน   หรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   เราควรอบรมเจริญความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   แต่ทว่าเราจะรู้ไหมว่า   ขณะใดเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จริง ๆ

ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้นไม่จิรัง   ไม่มีอัตตาที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่มีชีพที่ถาวรมีแต่กระแสของสภาพรู้ที่สืบต่อและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา    จิต (สภาพรู้) เกิดขึ้นและดับไปในทันทีแล้วก็สืบต่อด้วยจิตดวงต่อไป   จิตต่างๆ เกิดขึ้นแล้วดับไปสืบต่อกันไป
เรื่อย ๆ   อกุศลจิต (สภาพรู้ที่ไม่ดี) อาจจะเกิดภายหลังกุศลจิตไม่นาน   แต่เราก็ไม่ทันสังเกต   แต่อกุศลจิตจะเกิดพร้อมกับกุศลจิตในขณะเดียวกันไม่ได้   เพราะว่าในหนึ่งขณะ   จิตจะเกิดขึ้นได้ทีละหนึ่งดวงเท่านั้น    ความโลภกับความเอื้อเฟื้อจะเกิดขึ้นในขณะเดียวกันไม่ได้   แต่ความโลภอาจเกิดสืบต่อได้อย่างรวดเร็วหลังจากความเอื้อเฟื้อดับไปแล้ว

ในวันหนึ่ง ๆ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกิดขึ้นน้อยมาก   ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหลับ   เราก็มีแต่แสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาเป็นของเรา   ส่วนช่วงเวลาที่เราเป็นฝ่ายให้แทนที่จะเป็นฝ่ายได้นั้นช่างเล็กน้อยเสียเหลือเกิน   เรารู้ตัวจริง ๆ หรือ ว่าขณะไหนเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   เราอาจจะไปยึดถือสิ่งที่ความจริงแล้วเป็นโลภะว่าเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็ได้ เรารู้ตัวหรือเปล่าว่ามีความผูกพันในบุคคลผู้รับ   ผูกพันกับสิ่งของที่เราให้   และผูกพันกับกุศลกรรมของเราเอง     เราติดข้องในความรู้สึกแช่มชื่นที่เกิดจากการให้   และไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าขณะนั้นเป็นโลภะ    เราอาจจะคิดถึง “การให้ของฉัน” และยึดถือกุศลกรรมว่าเป็นตัวตน

โลภะเกิดขึ้นมากมายหลายขณะเกินกว่าที่เราคาดคิด   บางคนอาจจะคิดว่าโลภะเกิดก็ต่อเมื่ออยากได้อะไร ๆ เมื่อเกิดละโมบ   แต่โลภะมีมากมายหลายรูปแบบ   บางอย่างก็หยาบและบางอย่างก็ละเอียดกว่า   บ่อยครั้งไหมที่พอเราและเห็นอะไรเข้าก็เกิดพอใจสิ่งที่เห็น   เราไม่ยึดมั่นในการเห็นและในตาของเราหรือ     เราย่อมไม่อยากสูญเสียดวงตาหรือสายตาที่ดี   นั่นก็แสดงว่ามีโลภะ   โลภะมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบกับสิ่งที่สัมผัสกาย   และขณะรู้สิ่งที่
ปรากฎทางมโนทวารด้วย

บางคนอาจจะสงสัยว่า “ทวาร” หมายถึงอะไร   ทวารคือทางที่จิตรู้อารมณ์    จิตเห็นรู้สิ่งที่ปรากฏทางทวารตา   จักขุทวารก็คือจักขุปสาทอันเป็นรูปชนิดหนึ่งที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฎทางตาได้   จักขุปสาทเองนั้นไม่เห็น แต่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการเห็น    ทวารทั้งหมดมีอยู่ ๖ ทวาร   คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น   กาย  และ ใจ     ไม่มีตัวตนที่รู้สิ่งที่ปรากฏต่าง ๆ  มีแต่จิตประเภทต่าง ๆ ที่เกิดดับสืบต่อกัน โดยรู้อารมณ์ทางทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวารนั่นเอง

ความโลภ   ความโกรธ   และความหลงสามารถเกิดในอารมณ์ที่รู้ทางทวารใดทวารหนึ่งใน ๖ ทวารนั้น   เรามักจะทึกทักจิตซึ่งที่แท้จริงแล้วเป็นอกุศลจิตว่าเป็นกุศลจิตบ่อย ๆ  เช่น   ดิฉันไปช่วยคนที่ตักน้ำให้สตรีชราคนหนึ่ง   ขณะที่ช่วยเขาตักน้ำดิฉันก็พูดธรรมไปด้วย   แต่ดิฉันก็เกิดความโลภต่อกุศลของดิฉันอยู่หลายขณะทีเดียว   และเมื่อผู้คนที่วัดแสดงความปรารถนาดีชื่นชมต่อดิฉันและอนุโมทนากุศลนั้น ดิฉันก็ซาบซี้งในความเอื้ออารีของเขา   แต่ก็เกิดโลภะต่อสิ่งเหล่านั้นและต่อกุศลของดิฉันเองด้วยทันที     เนื่องจากจิตต่าง ๆ เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วจึงยากเหลือเกินที่จะรู้ได้อย่างชัดแจ้งว่า ขณะใดจิตเป็นกุศลและขณะใดเป็นอกุศล     ขณะที่จิตเป็นกุศลนั้นไม่มีโลภะ โทสะ และโมหะเลย

เมื่อเรารู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นแล้ว   เราก็จะทราบได้ว่าแม้แต่กุศลดังเช่นทานนั้น   ก็อาจเป็นปัจจัยให้เกิดโลภะขึ้นได้    เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมีความติดข้องในผลของกุศลกรรม   เช่น   การเกิดในสุคติภพ    หรือมิฉะนั้นก็รู้ได้เมื่อมีความสำคัญตนในกุศลนั้น   เราอาจคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น   บุคคลจึงต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะได้รู้ถึงความต่างกันระหว่างกุศลกับอกุศล

ความเข้าใจอันถูกต้องหรือปัญญานั้นไม่ได้เกิดร่วมกับกุศลจิตทุกดวง   เช่น   คนบางคนอาจช่วยเหลือคนอื่นเพราะเป็นอุปนิสัยของเขาโดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมกับกุศลจิตเลยก็ได้   เราอาจถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุหรือถวายดอกไม้บูชาในโบสถ์
เพราะเป็นประเพณีที่ดีงามที่เราได้รับการอบรมสั่งสอนมา   ในขณะเหล่านั้นเป็นกุศลจิตแต่อาจจะไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้ เมื่อกุศลจิตดับไปแล้วอกุศลจิตอาจจะเกิดขึ้น   แต่เราก็มักจะไม่ค่อยรู้   บางคนอาจคิดว่ากุศลจิตเกิดขึ้นตลอดเวลาที่อยู่ในโบสถ์หรือในขณะที่กำลังช่วยเหลือคนอื่นอยู่   เราอาจคิดไปว่าความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะคงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง   ซึ่งโดยแท้ที่จริงแล้วระหว่างนั้นเป็นอกุศลจิตมากมายหลายขณะก็ได้

การรู้ความจริงของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์   เป็นการเตือนสติให้เจริญปัญญา เพื่อรู้ชัดว่าขณะใดเป็นกุศลและขณะใดเป็นอกุศล   เราจะต้องตรงต่อตัวเองจริง ๆ   และควรรู้ว่าอกุศลย่อมเกิดขึ้นบ่อยกว่ากุศล

ศีล   เป็นกุศลอีกอย่างหนึ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง    การละเว้นการกระทำชั่ว ทางกาย ทางวาจาและใจ เป็นกุศลศีล   การอ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม   และการช่วยเหลือผู้อื่นก็รวมอยู่ในศีลด้วยเช่นกัน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการประชุมที่อนุราธปุระ ได้มีคนถามเรื่องการรักษาศีลหลายประเด็น   บางคนที่มีอาชีพเป็นทหารได้ถามว่า   การปฏิบัติตามคำสั่งให้ฆ่าคนนั้นเป็นอกุศลหรือไม่   คุณสุจินต์ได้ถามเขาว่า   “คุณต้องการจะฆ่าหรือว่าคุณจำเป็นต้องฆ่าเล่า”   ตรงนี้เองเป็นข้อที่ต่างกัน    การฆ่าเป็นอกุศลกรรม (การกระทำชั่ว)   แต่อกุศลกรรมก็มีหลายระดับ   เมื่อบุคคลใดต้องการฆ่าอย่างสุดหัวใจ   อกุศลกรรมนั้นเป็นขั้นแรงกว่าการฆ่าโดยปฏิบัติตามคำสั่ง

ผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ควรคิดว่าไม่มีวันจะล่วงละเมิดศีลห้าเลย   ความโน้มเอียงที่จะเกิดอกุศลสารพัดชนิดนั้นย่อมนอนเนื่องอยู่เป็นประจำ   และเมื่อประจวบโอกาสเราก็อาจกระทำอกุศลกรรมได้   บางคนอาจจะไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จำต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่นาน   แต่ใครจะรู้แน่ได้เล่าว่าถ้าอยู่ในสภาวการณ์คับขันแล้วจะไม่ฆ่าสัตว์   เช่น  เราอาจจะต้องฆ่าแมลง   เพราะแขกกำลังจะมาบ้าน

เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หนึ่งถามว่า   เขาจะกระทำหน้าที่ของเขาด้วยกุศลจิตได้ไหม   คุณสุจินต์ได้กล่าวว่า   อาชีพของเขามีโอกาสที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้มากมาย   เช่น   ช่วยในการรักษาระเบียบและช่วยประชาชนที่เดือดร้อน    ผู้พิพากษาท่านหนึ่งถามว่า   การที่จำต้องตัดสินลงโทษประหารชีวิตคนนั้น   เป็นการกระทำอกุศลกรรมหรือเปล่า   มีกฎหมายที่เราทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม
การลงชื่อตัดสินคดีเช่นนั้นอาจไม่เป็นอกุศลกรรมก็ได้   แต่ก็มักจะกระทำไปด้วยอกุศลจิต

บ่ายวันหนึ่งผู้พิพากษาท่านนั้นพร้อมทั้งครอบครัวได้มานมัสการพระธัมมธโร ภายใต้ร่มไม้ในบริเวณมหาวิหารที่อยู่ระหว่างพระสถูป “รูวันเวลิสายะ” กับต้นพระศรีมหาโพธิ์   เรารู้สึกว่าสถานที่นี้ซึ่งเคยเป็นที่สนทนาธรรมตั้งแต่อดีตกาล   เป็นที่เหมาะสำหรับสนทนาธรรมมาก   ท่านพระธัมมธโรได้พูดถึงอันตรายของความทะเยอทะยาน   ซึ่งอาจเป็นตัวก่อให้เกิดอกุศลจิตลักษณะต่าง ๆ  และบางคนอาจกระทำอกุศลกรรม   เช่น   กล่าวเท็จเพื่อจะได้บรรลุจุดหมายของตน     แต่การได้รับสิ่งที่น่าพอใจ   เช่น  เกียรติยศ   และความเคารพนับถือนั้นเป็นผลของกุศลกรรม   จะเป็นผลของอกุศลกรรมไปไม่ได้เลย   เมื่อใดที่ไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ว่าขณะใดเป็นกุศลจิตและขณะใดเป็นอกุศลจิต   และไม่รู้ว่าจะเจริญกุศลขึ้นได้อย่างไร     ด้วยเหตุนี้เราจึงตกเป็นทาสของกิเลสทั้งหลายแหล่

ท่านผู้พิพากษาได้ให้เงินหญิงยากจนที่เดินเข้าใกล้ ๆ กลุ่มของเรา   คุณสุจินต์ได้กล่าวว่า   “การให้ทานขณะนี้เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย   หากปราศจากเหตุปัจจัยที่จะให้แล้วการให้ก็เกิดไม่ได้”
การเตือนสติว่า ไม่มีตัวตนที่เป็นผู้ให้   ไม่มีบุคคลในการให้   มีแต่จิตเท่านั้นที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยนั้น   จะเป็นประโยชน์มาก   ถ้าหากไม่มีการให้มาแล้วในอดีตก็ย่อมจะไม่มีการให้ในปัจจุบันนี้    จิตที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่คงอยู่   แต่อย่างไรก็ตามจิตดวงนี้ก็เป็นเหตุปัจจัยแก่จิตดวงต่อไป   และจิตดวงใหม่นี้ก็เป็นปัจจัยแก่จิตดวงต่อไปอีกตามลำดับ   ด้วยเหตุนี้เองกรรมดีและกรรมชั่วจึงสืบต่อกันไป   จากขณะหนึ่งไปยังขณะหนึ่ง จากชาติหนึ่งไปยังอีกชาติหนึ่ง

การละเว้นจากมิจฉาวาจาก็เป็นอาการของศีลอย่างหนึ่ง   ซึ่งเราเข้าใจในทางทฤษฎี   แต่ในชีวิตประจำวันเราระลึกได้หรือเปล่าเมื่อกำลังจะกล่าววาจาที่ไม่น่าฟัง   เช่น   หากมีคนเสนอแผนงานที่เราไม่ชอบเลย   เราหมดความอดทนแล้วพูดโผงผางออกไปหรือเปล่า ว่าเราไม่ชอบแผนงานของเขา   หรือว่าเราจะสงบปากสงบคำไม่เพราะหูนั้นด้วยความเกรงใจเขา   เราอาจจะรู้ว่าเวลาที่เราขึ้นเสียงเอะอะนั้นเป็นวาจาที่ไม่ดี   ซึ่งนั่นก็เห็นชัด ๆ อยู่แล้ว   แต่เมื่อใดที่เราพูดจาไม่เกรงอกเกรงใจคนอื่นนั้น เรารู้ตัวหรือเปล่าว่านั่นเป็นวาจาที่ไม่สมควรเลยแม้ว่าเราจะไม่เอะอะเลยก็ตาม    การแสดงความไม่พอใจด้วยวาจา เป็นการพูดที่เกิดจากความขัดเคืองใจ   ด้วยเหตุนี้คำพูดนั้น ๆ จะเป็นสัมมาวาจาได้อย่างไร   และแม้แต่การที่เราไม่ได้กล่าวอะไรเลยแต่หุบปากเงียบด้วยความไม่พอใจเมื่อไม่เห็นด้วยกับคนอื่น ก็ไม่ใช่กุศลจิตที่ละเว้นวจีทุจริต

มีหลายพระสูตรที่มีข้อความเรื่องวาจาที่อ่อนโยน   เช่น  ในจุฬหัตถิปโทปมสูตร (มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๓๓๓)   ซึ่งพระมหินทเถระได้เทศน์โปรดพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะ   ข้อความเรื่องวาจามีว่า   ให้พึง

…………………ละคำหยาบ   เว้นขาดจากคำหยาบ   กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหูชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง   คนส่วนมากรักใคร่พอใจ…………

พระธัมมธโรได้เล่าให้ดิฉันฟังเรื่องหนึ่ง   ซึ่งดิฉันได้เห็นว่าเป็นข้อเตือนใจเราอย่างดียิ่งให้มีความอดกลั้นในการกล่าววาจา   ท่านเล่าว่าคืนหนึ่งระหว่างการประชุม พระภิกษุไม่มีไมโครโฟน เมื่อพระภิกษุต้องการจะพูดอะไรก็ต้องคอยรับไมโครโฟนที่ส่งต่อกันมาให้     พระภิกษุทั้งหลายต่างรู้สึกว่าการรอคอยนี้เกิดประโยชน์มาก   เพราะถ้าหากผู้ใดพูดอะไรออกมาทันทีแล้ว   เขาก็อาจจะพูดด้วยอกุศลจิตได้เมื่อเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนอื่นพูด   ถ้าจำเป็นต้องรอเขาก็มีเวลาที่จะมีสติยับยั้งได้     การที่จะพูดด้วยกุศลจิตเสมอไปนั้นช่างยากเย็นจริง ๆ      แม้แต่ในการพูดธรรมก็อาจจะมีความยึดมั่นในคำพูดและความคิดของตนเอง หรืออาจไม่พอใจคำพูดของคนอื่น   หรืออาจจะมีความภาคภูมิใจในความรู้ของตนเอง     เมื่อใดที่อกุศลจิตทำให้พูดแม้จะเป็นเรื่องธรรมก็ตาม ผู้พูดย่อมไม่สามารถอำนวยประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ผู้อื่นได้เลย   ด้วยเหตุนี้เราจะเห็นได้ว่าความเข้าใจจิตต่าง ๆ ของตนเองย่อมเป็นประโยชน์ที่สุดในการเจริญกุศล

 

 

 

home      ปัญหาถาม-ตอบ       หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก     ถาม-ตอบจากหนังสือ

หมายเหตุ: คัดลอกจากหนังสือ  "ธรรมจาริกในศรีลังกา"
โดย  Nina Van Gorkom
แปลโดย  พ.อ. ดร. ชินวุธ   สุนทรสีมะ
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

 

Click Here!