Buddhist Study   ธรรมจาริกในศรีลังกา   บทที่ 4
โดย  นีน่า  วัน   กอร์คอม   
แปลโดย  พ.อ. ดร. ชินวุธ   สุนทรสีมะ
   

 

 

home

ปัญหาถาม-ตอบ

หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก

ถาม-ตอบจากหนังสือ


 
บทที่ ๔

ปัญญาที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนานั้นประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ  อนิจจัง  ทุกขัง   และอนัตตา   ปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งนี้จะต้องอบรมเจริญ   จะเกิดโดยปราศจากเหตุปัจจัยไม่ได้เลย

เราได้สะสมอวิชชาและความเห็นผิดมาอย่างมากมายนับภพนับชาติไม่ถ้วน    จากคำสอนของพระบรมศาสดาเราทราบว่าการเห็นไม่ใช่ตัวตน   การได้ยินก็ไม่ใช่ตัวตน   และธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน   อย่างไรก็ตามเมื่อการเห็นเกิดขึ้นนั้น เรารู้สภาพเห็นตามความเป็นจริงหรือเปล่า   หรือว่าเรายังคิดว่าเป็นตัวเราที่เห็นหรือคิดว่าเป็น “การเห็นของเรา” หรือเปล่า   เรายังคงคิดว่าเป็นการได้ยินของเรา   การคิดของเรา
ความรู้สึกของเรา   ความโลภของเรา   หรือกุศลของเราอยู่หรือไม่

พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องสภาพธรรมทั้งหมดซึ่งปรากฏทางทวาร ๖  คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น   กาย  และใจ    พระองค์ตรัสเรื่องการเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา   เสียงกับการได้ยิน และสภาพธรรมอื่น ๆ ทั้งหมด

ในสังยุตตนิกาย  สฬายตนวรรค   สัพพวรรคที่ ๓ ข้อ ๒๔    มีข้อความว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เราจักแสดงสิ่งทั้งปวงแก่เธอทั้งหลาย   เธอทั้งหลายจงฟังข้อนั้น   ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ก็อะไรเป็นสิ่งทั้งปวง   จักขุกับรูป  จมูกกับกลิ่น   ลิ้นกับรส  กายกับโผฏฐัพพะ   ใจกับธรรมารมณ์   อันนี้เรากล่าวว่าสิ่งทั้งปวง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราบอกปฏิเสธสิ่งทั้งปวง   จักบัญญัติสิ่งอื่นแทน   วาจาของผู้นั้นคงเป็นของศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพเจ้า   แต่ครั้นถูกถามเข้าก็คงไม่ปริปากได้   และยิ่งจะอึดอัดลำบากใจ   ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร   เพราะข้อนั้นไม่ใช่วิสัยฯ

นอกเหนือจากสภาพธรรมซึ่งสามารถรู้ได้โดยทวารทั้งหกนี้แล้ว ก็ไม่มีสภาพธรรมอื่นใดอีกเลย

ในสูตรเดียวกันนี้มีข้อความต่อไปว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมแก่เธอทั้งหลายเพื่อรู้ยิ่งรอบรู้แล้วละสิ่งทั้งปวง   เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้น   ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ธรรมสำหรับรู้ยิ่ง   รอบรู้แล้วละเสียซึ่งสิ่งทั้งปวงเป็นไฉน

จักขุรูป   จักขุวิญญาณ  จักขุสัมผัส   เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง   ควรรอบรู้แล้วละ   แม้สุขเวทนา  ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย   ก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง   ควรรอบรู้แล้วละเสีย ฯลฯ

ใจ  ธรรมารมณ์  มโนวิญญาณ   มโนสัมผัส   เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง   ควรรอบรู้แล้วละเสีย   แม้สุขเวทนา  ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา   ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัยก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง   ควรรอบรู้แล้วละเสีย   นี้เป็นธรรมสำหรับรู้ยิ่งรอบรู้แล้วละสิ่งทั้งปวงเสีย

สภาพธรรมเหล่านี้เป็นธาตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปหาใช่สัตว์บุคคลที่ยั่งยืนไม่

การเห็นก็ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน   แต่เป็นเพียงสภาพรู้ คือจิตขณะหนึ่ง   ซึ่งเกิดขึ้นกระทำกิจเห็นแล้วก็ดับไปในทันที   เราไม่มีอำนาจเหนือการเห็น   การเห็นไม่ได้เป็นของเรา   การเห็นเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยสำหรับการเห็นนั้น   เมื่อไม่มีจักขุปสาท การเห็นก็เกิดไม่ได้    จักขุปสาทเป็นปัจจัยหนึ่งของการเห็น    เราเป็นนายเหนือจักขุปสาทของเราหรือเปล่า   เราเป็นผู้สร้างจักขุปสาทของเราหรือเปล่า   สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของการเห็น   เมื่อไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา   การเห็นก็เกิดไม่ได้   สภาพธรรมทุกอย่างในตัวเราและรอบ ๆ ตัวเรา เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยอันเหมาะสมที่จะทำให้สภาพธรรมนั้น ๆ เกิดขึ้น หากปราศจากปัจจัยอันควรแล้วสภาพธรรมเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราปรารถนาที่จะให้เกิดขึ้นก็ตาม    เราบังคับบัญชาสภาพธรรมไม่ได้   เราคิดว่าตัวเราจะเป็นนายเหนือจิตใจและร่างการของเรากระนั้นหรือ   เราสามารถจะป้องกันไม่ให้จิตใจและ ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาได้ละหรือ
สิ่งที่เราไปยึดถือเป็นจิตใจก็เป็นเพียงนามธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไปโดยทันที    สิ่งที่เราไปยึดถือว่าเป็นร่างกายก็เป็นเพียงรูปธรรมต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และดับไปเช่นกัน

สิ่งที่เราเรียกว่า   ”ชีวิต”  หรือ  “โลก” นั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรม ซึ่งสามารถรู้อารมณ์   และรูปธรรมซึ่งไม่สามารถรู้อารมณ์   การเห็นเป็นนามธรรมเพราะรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา
ความรู้สึกก็เป็นนามธรรมเพราะเป็นสภาพรู้สึก   สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปธรรม เพราะไม่สามารถรู้อะไรได้

มีผู้ถามว่าเราจะเรียกสิ่งที่เป็น นาม ว่าเป็นตัวรู้    และเรียกรูปว่า เป็นสิ่งที่ถูกรู้ จะได้หรือไม่    นามก็สามารถเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ด้วย   นามธรรมเป็นสภาพธรรมที่รู้ได้ทั้งรูปและนาม
เช่น  ความโลภ หรือความรู้สึกเป็นนามธรรมซึ่งเป็นอารมณ์ของนามอื่น    ฉะนั้นคำว่า ตัวรู้ หรือตัวที่ถูกรู้จึงไม่ทำให้เข้าใจนามธรรมและรูปธรรมได้เลย

ดูเหมือนกับว่า    การจำแนกสภาพธรรมในตัวเราและนอกตัวเรา เป็นนามกับรูปนั้นจะยุ่งยากสับสน    แต่แท้ที่จริงแล้วการจำแนกเช่นนี้ไม่ง่ายกว่าการติดอยู่ในชื่อและค่านิยมต่าง ๆ ที่เราบัญญัติขึ้นดอกหรือ   เราอาจจะพยายามนำเอาปรัชญาหรือศัพท์ทางวิชาการต่างๆ ที่เราได้เคยเรียนรู้ไปปรับใช้กับพระพุทะศาสนา   เราไม่ได้พยายามทำให้พระพุทธศาสนามีทัศนะเดียวกับทัศนะในชีวิตของเราและ “โลกของเรา” ดอกหรือ   เหตุไฉนเราจึงไม่ลืมเรื่องที่เราเคยเรียนและเคยคิดเรื่องเหล่านี้   แล้วศึกษาสภาพธรรมที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้เล่า   ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอะไรเป็นความจริงแท้แน่นอน

การเจริญวิปัสสนานั้นรู้แจ้งอะไร   รู้เก้าอี้ด้วยวิปัสสนาได้ไหม   รู้บุคคลด้วยวิปัสสนาได้ไหม   รู้สภาพแข็งด้วยวิปัสสนาได้ไหม   ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราแสดงความคิดเห็นกันในการประชุม

สภาพแข็งรู้ได้เมื่อปรากฏที่กายปสาท   ขณะนี้ไม่มีสภาพแข็งหรือ   การรู้สภาพแข็งนั้นไม่จำเป็นต้องคิดถึงแข็งหรือเรียกชื่อแข็งเลย   สภาพแข็งมีจริง เป็นรูปธรรมซึ่งกระทบสัมผัสรู้ได้

รู้เก้าอี้ทางกายได้ไหม   เราคิดว่าเราสัมผัสเก้าอี้ได้   แต่ความจริงแล้วเรากระทบกับอะไรกันแน่   สภาพแข็งหรืออ่อนต่างหากที่กระทบได้จริง ๆ  เก้าอี้นั้นกระทบไม่ได้   เป็นแต่เพียงความคิดที่เกิดขึ้นในใจของเราเท่านั้น    “ความคิด” คิดได้สารพัด   คิดเรื่องสภาพธรรมและคิดเรื่องสมมุติบัญญัติต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่สภาพธรรม    ขณะที่คิดว่าเห็นคน ขณะนั้นไม่ใช่การเห็น   แต่เป็นการคิดถึงบัญญัติ   สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นที่เห็นได้ทาง จักขุปสาท

ขณะที่สัมผัสสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นคนนั้น   อะไรปรากฏ   แข็ง  อ่อน   ร้อน  หรือเย็น เท่านั้นที่รู้ได้ด้วยกายปสาท   หาใช่คนไม่   พระบรมศาสดาได้ทรงสอนว่าไม่มีบุคคลหรือตัวตนเลย   แต่ทว่าเราก็ได้สะสมอวิชชาและความเห็นผิด ที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราเห็นและสัมผัสคน

เราอาจจะรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจว่า โดยแท้จริงแล้วไม่มีคนเลย   การไม่มีคนนั้นหาได้หมายความว่าไม่มีสภาพธรรม   สิ่งที่เราไปยึดถือว่าเป็นคนนั้นก็คือ เป็นนามธรรมและรูปธรรมต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นและดับไป    สภาพธรรมเหล่านั้นได้แก่   การเห็น  การคิด   หรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นต้น   ไม่ใช่คนและไม่ยั่งยืน

เวลาที่เราคิดว่าคนนี้โอบอ้อมอารีนั้น แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงจิตขณะหนึ่งที่โอบอ้อมอารีเท่านั้น   ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป    คุณสุจินต์ได้กล่าวว่า   “เวลาให้ทำไมเราจึงชอบใส่ตัวคนลงไปในการให้”

เรารู้ได้จากการเจริญวิปัสสนาว่าอะไรจริง และอะไรไม่จริง   บัญญัติต่าง ๆ ไม่ใช่อารมณ์ของสติปัฏฐานเพราะไม่ใช่สิ่งที่มีจริง    นามและรูปต่าง ๆ ที่ปรากฏทีละอย่างต่างหากที่เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมเจริญปัญญา

สติ ในการเจริญวิปัสสนานั้นเป็นอย่างไร   นี่เป็นอีกหัวข้อหนึ่งของการอภิปรายของเรา   สติที่กำลังระลึกรู้อารมณ์นั้นเหมือนกับจิตที่รู้อารมณ์หรือเปล่า   เช่น   ในขณะที่จิตรู้แข็งนั้นมีสติระลึกรู้ในความแข็งนั้นหรือเปล่า

สภาพระลึกรู้   หรือสติในภาษาบาลีนั้น เกิดขึ้นกับโสภณจิต (จิตที่ดีงาม)   สติเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี   สติมีหลายระดับ    สติที่เกิดกับทาน   กุศลจิตที่กระทำทานนั้นเกิดไม่ได้ถ้าสติไม่เกิด    สติเกิดกับศีลก็มี   ขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้นรักษาศีล   ขณะนั้นสติก็ระลึกที่จะละเว้นทุจริตกรรม   กุศลจิตที่เจริญสมถภาวนาก็มีสติเกิดร่วมด้วยโดย “ระลึกรู้” อารมณ์ของสมถภาวนา

กุศลจิตที่เจริญวิปัสสนาก็มีสติเกิดร่วมด้วย   สติขั้นวิปัสสนาต่างกับสติขั้นสมถภาวนา   สติขั้นวิปัสสนานั้นระลึกรู้นามหรือรูปที่ปรากฏขณะนี้ ทางทวารใดทวารหนึ่งใน ๖ ทวาร   อารมณ์ที่สติขั้นวิปัสสนาระลึกรู้อาจเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา   การเห็น  เสียง  การได้ยิน   การคิด  หรือสภาพธรรมอื่นๆ ที่ปรากฏในขณะนี้    เพื่อที่จะเข้าใจถึงกิจหน้าที่ของสติขั้นวิปัสสนาแจ่มแจ้งขึ้น   เราควรเข้าใจอารมณ์ของสติเสียก่อน

สติระลึกรู้ลักษณะของจิตได้ยินได้   แล้วสติจะระลึกรู้ได้ยินเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือ    จิตได้ยินไม่มีสติเกิดร่วมด้วย   จิตได้ยินทำกิจได้ยินเท่านั้น   คือ   เพียงแต่รู้เสียงแล้วก็ดับไป   แต่สติทำกิจระลึกรู้   เราไม่ต้องคอยนับว่าจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปกี่ขณะหลังจากได้ยิน และก่อนที่สติจะระลึกรู้สภาพได้ยินนั้น

สติเกิดกับกุศลจิต   แต่อกุศลจิตก็เป็นอารมณ์ของสติได้   เช่น   จิตที่ไม่พอใจเป็นอารมณ์ของสติได้   เมื่อความไม่พอใจดับไปแล้วจิตที่มีสติก็เกิดขึ้น    แต่ลักษณะของความไม่พอใจจะไม่ปรากฏกับสติเลยกระนั้นหรือ   ความไม่พอใจต่างกับความพอใจหรือการเห็น   สติรู้สภาพธรรมที่ต่างกันเหล่านี้ได้

การมีสติระลึกรู้สภาพธรรม ไม่เหมือนกับการรู้อารมณ์ของจิต   เช่น   ขณะที่สภาพแข็งกระทบกับกายปสาท   จิตที่เพียงรู้ว่าแข็งก็เกิดขึ้นทำกิจรู้สภาพแข็ง   จิตดวงนี้ไม่มีความพอใจหรือไม่พอใจต่ออารมณ์นั้นเลย   และก็ไม่มีปัญญาด้วย   เป็นเพียงสภาพรู้ความแข็งทางกายปสาทแล้วก็ดับไป เมื่อจิตดวงนี้ดับไปและจิตอื่นเกิดดับสืบต่อแล้วไม่นาน   อกุศลจิตหรือกุศลจิตจึงเกิด    ถ้าหากมีเหตุปัจจัยให้สติเกิดกับกุศลจิต ก็จะระลึกรู้และ “พิจารณาศึกษา” ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏนั้นเพื่อปัญญาจะได้เจริญขึ้น    ปัญญาเกิดขึ้นทันทีไม่ได้   แต่จะเจริญขึ้นโดยการมีสติระลึกรู้   เราเคยศึกษาแต่เพียงจากการอ่านการฟังหรือการคิดเท่านั้น   ซึ่งไม่เหมือนการศึกษาโดยมีสติระลึกรู้   เพราะเป็นการศึกษาโดยระลึกรู้นามและรูปต่าง ๆ ตามที่ปรากฏทีละอย่าง   คุณสุจินต์ กล่าวบ่อย ๆ ว่า   “ถ้าไม่พิจารณาศึกษา ปัญญาก็เจริญไม่ได้”

สติระลึกรู้สภาพธรรมได้ทีละอย่างเท่านั้น   เราจะรู้อารมณ์มากกว่าหนึ่งอารมณ์ในขณะเดียวกันได้ไหม   ดูเหมือนว่าเราเห็นและได้ยินพร้อมกัน   แต่จิตที่เกิดขึ้นแต่ละดวงนั้นรู้อารมณ์ได้อารมณ์เดียวแล้วก็ดับไป   แล้วจิตดวงต่อไปก็เกิดขึ้นสืบต่อ   จิตเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาโดยจักขุทวารแล้วก็ดับไป   จิตได้ยินก็ต่างกับจิตเห็นอย่างสิ้นเชิง    จิตได้ยินเสียงทางโสตทวารแล้วก็ดับไป   จิตเกิดขึ้นได้ขณะละหนึ่งดวงเท่านั้นคือ   รู้อารมณ์ทีละขณะ    ด้วยเหตุที่จิตเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว   จึงทำให้รู้สึกเสมือนว่าการเห็นและการได้ยินนั้นคงอยู่ชั่วขณะ   และเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันได้   แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

ขณะนี้ไม่มีการเห็นหรือการได้ยินเลยหรือ    แต่การหลงลืมมีอยู่บ่อย ๆ   ไม่ได้ศึกษาพิจารณาสภาพธรรมใด ๆ เลย   สภาพแข็งกระทบกับกายปสาทครั้งแล้วครั้งเล่า   แต่ก็ไม่ได้ศึกษาพิจารณาแข็งนั้นว่าเป็นเพียงแข็งเท่านั้น   เมื่อสัมผัสสิ่งที่แข็งเราก็ไม่สงสัยเลยว่ามันแข็ง   แม้แต่เด็กเล็กก็รู้   แต่ศึกษาพิจารณาลักษณะที่แข็งนั้นว่าเป็นเพียงสภาพแข็งเท่านั้นหรือเปล่า   โดยไม่สับสนกับความคิดถึงนิ้วหรือเก้าอี้ว่าเป็นสิ่งที่แข็ง   ขณะคิดว่ากระทบกับ “สิ่งหนึ่ง”  เช่น   นิ้วหรือเก้าอี้   ก็แสดงว่าไม่มีสติระลึกรู้สภาพธรรมเลย   เราอาจกระทบกับสภาพแข็งหลายครั้งด้วย โลภะ  โทสะ  และโมหะ   บางครั้งสติอาจจะเกิดขึ้น และในขณะนั้นก็ศึกษาพิจารณาลักษณะของสภาพแข็งเพื่อปัญญาจะได้เจริญขึ้น   จากตัวอย่างนี้เราจะเห็นได้ว่า   สติหรือการระลึกรู้ในขั้นวิปัสสนานั้น ไม่เหมือนกับสติที่เข้าใจกันทั่วไปว่าเป็น
“การรู้ตัว “  ธรรมดา ๆ

 

 

 

home      ปัญหาถาม-ตอบ       หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก     ถาม-ตอบจากหนังสือ

หมายเหตุ: คัดลอกจากหนังสือ  "ธรรมจาริกในศรีลังกา"
โดย  Nina Van Gorkom
แปลโดย  พ.อ. ดร. ชินวุธ   สุนทรสีมะ
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

 

Click Here!