Buddhist Study | ธรรมจาริกในศรีลังกา
บทที่ 5 โดย นีน่า วัน กอร์คอม แปลโดย พ.อ. ดร. ชินวุธ สุนทรสีมะ |
|||
|
บทที่ ๕ สภาพธรรมใด ๆ ซึ่งปรากฏในขณะนี้เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้ ขณะนี้ไม่มีการเห็นหรือ การเห็นก็เป็นอารมณ์ของสติได้ ขณะนี้ไม่มีการได้ยินหรือ การได้ยินก็เป็นอารมณ์ของสติได้ เราอภิปรายกันเรื่องสภาพเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา และการคิดเรื่องสิ่งที่เห็น เพราะเราทุกคนมักจะสับสนในสภาพธรรมต่าง ๆ การเจริญวิปัสสนานั้นจะต้องเจริญปัญญาที่ประจักษ์สภาพธรรมต่าง ๆ อย่างถูกต้อง การเห็นเป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาก็คือ สิ่งที่ถูกเห็น ซึ่งเห็นได้ทางจักขุปสาท จะเรียกว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือสีก็ได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตานั้นเอง สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นไม่ใช่เก้าอี้ สิ่งของ สัตว์ หรือบุคคล สิ่งเหล่านี้จะกระทบจักขุปสาทได้อย่างไร ขณะนี้เมื่อลืมตา ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อหลับตาลงและคิดถึงสิ่งอื่นหรือคนอื่น ก็จะไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เรามักลืมที่จะระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะที่ปรากฏ เรารู้จักสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วหรือ หรือว่าเรายังเชื่ออยู่ว่าเราเห็นเก้าอี้หรือบุคคล เราอาจเชื่อว่าเราเห็นรูปร่างสัณฐานทางตา แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทั้งนี้เพราะความทรงจำในอดีตทำให้เราเกิดความคิดว่าเป็น บุคคล หรือ เก้าอี้ จิตชนิดต่าง ๆ เกิดสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมาก ดูเสมือนว่าเห็นอยู่ช่วงระยะหนึ่ง แต่สภาพเห็นนั้นก็ดับไปแล้วทันที เมื่อเราจำสีต่าง
ๆ ได้เช่นสีแดงและน้ำเงิน
ก็เป็นเรื่องของความทรงจำอีกนั่นแหละ
จิตเห็นรู้เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสี่งที่ปรากฏทางตานั้นไม่มีสี ดูยากนักยากหนาที่จะรู้ความแตกต่างระหว่างการเห็นกับการคิด เราอาจจะโน้มเอียงไปในการคิดเรื่องการเห็น และเฝ้าสงสัยว่าการเห็นเหมือนกับอะไรหนอ หากเรามัวแต่สงสัยและครุ่นคิดเรื่องการเห็น แทนที่สติจะระลึกรู้สภาพการเห็นขณะนี้ ก็จะไม่มีวันประจักษ์การเห็นตามความเป็นจริง ปัญญา (ความรอบรู้) ซึ่งเกิดจากการเจริญสติปัฏฐานจะประจักษ์แจ้งว่า การเห็นเป็นการรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งต่างจากการสำเหนียกรู้รูปร่างสัณฐาน หลายคนรู้สึกว่าการอภิปรายเรื่องการเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา การได้ยินกับเสียง เป็นวิชาการมากเกินไป ทำไมเราจะต้องรู้สภาพธรรมเหล่านี้ด้วย การเห็นและการได้ยินไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตจริงของเราดอกหรือ เราเห็นและเราได้ยินสิ่งที่น่ารื่นรมย์และสิ่งที่ไม่น่ารื่นรมย์หลังจากที่การเห็นหรือการได้ยินดับไปไม่นาน โลภะ โทสะ และโมหะ ก็มักจะเกิดขึ้น เรายังไม่รู้อะไรเลยในเรื่องการเห็น การได้ยินและสภาพธรรมอื่น ๆ ในชีวิตของเรา ถ้าไม่มีสติระลึกรู้สภาพเห็นและสภาพได้ยินแล้ว เราก็ยึดมั่นในความคิดว่า เราเห็น เราได้ยิน ซึ่งเป็นความเห็นผิดที่ยึดถือตัวตน เราไม่ควรจะศึกษาให้รู้จักการเห็นและการได้ยินให้มากยิ่งขึ้นดอกหรือ การเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา การได้ยินกับเสียงและสภาพธรรมอื่นทั้งหลาย ซึ่งปรากฏนั้นเราควรจะรู้สภาพตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่ตัวตน ถ้าหากไม่มีสติระลึกรู้ เราก็จะยังคงมีชีวิตต่อไปโดยเห็นผิด อันจะนำความยุ่งยากมาสู่เราอย่างมากมาย เราจะยังยึดมั่นในความคิดว่าเป็นเรา เป็น บุคคล นี้หรือ บุคคล นั้นอยู่ต่อไป เมื่อเราได้ยินคำที่ไม่น่าฟัง ลักษณะของเสียงปรากฏ เราไม่ได้ยินคำ เราจำความหมายของคำต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่ได้ยินเสียง เราคิดถึงคำพูดด้วยความไม่พอใจและความเดือดร้อนใจก็เกิดขึ้นกับเราเอง หาใช่กับเสียงหรือกับบุคคลอื่นไม่ ไม่มีตัวตนซึ่งได้ยินเสียง แต่สภาพได้ยินนั่นเองที่รู้หรือได้ยินเสียง สติระลึกรู้เกิดในบางครั้งได้หรือไม่ ในขณะที่สติเกิดนั้น ก็จะศึกษาพิจารณารู้ลักษณ์ของสภาพธรรมต่าง ๆ
ในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จุฬหัตถิปโทปมสูตร ข้อ ๓๓๓ มีเรื่องภิกษุที่มีสติระลึกรู้ดังต่อไปนี้
.......ภิกษุนั้นเห็นรูปด้วยจักขุแล้ว
ไม่ถือนิมิต ไม่ถือ เมื่อเราได้ยินคำว่า สำรวม เราอาจจะนึกว่าตัวตนเป็นผู้สำรวม แต่ความเป็นจริงนั้นเป็นสติไม่ใช่ตัวตนที่ สำรวม ทวารทั้ง ๖ นั้น เราควรเตรียมตัวเจริญวิปัสสนาหรือไม่ ควรนั่งในที่สงัดเพื่อให้เกิดความสงบเสียก่อน ก่อนที่จะพิจารณานามและรูปที่ปรากฏหรือไม่ เรารู้แล้วว่าสมถะนั้นมีความสงบ
และรู้ว่าปัญญาที่เข้าใจ วิปัสสนาก็ต้องมีความสงบด้วย
และมีปัญญาเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น
ปัญญาขั้นวิปัสสนาต่างกับปัญญาขั้นสมถะ ในสมถะ
ความสงบเป็นสิ่งที่สำคัญ
และในวิปัสสนา
ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ
ความพยายามที่จะทำให้เกิดความสงบเพื่อเตรียมเจริญวิปัสสนานั้น
ไม่ใข่ปัจจัยที่ทำให้สติเกิด การเข้าใจนามและรูปต่างกับการระลึกรู้ตรงลักษณะต่างของนามและรูป ซึ่งควรจะรู้ความต่างกันด้วย ข้อสำคัญก็คือจะต้องรู้ว่าเมื่อใดมีสติ และเมื่อใดหลงลืมสติ เมื่อเข้าใจสติถูกต้องขึ้นแล้วสติก็จะเจริญขึ้นได้ มีสภาพธรรมปรากฏหลายอย่าง
เช่น การเห็น การได้ยิน เราอาจจะพยายามอธิบายโดยนัยต่าง ๆ ว่า สติคืออะไร แต่ก็จะรู้จักสติได้ด้วยตนเองเมื่อสติเกิดขึ้นจริง ๆ เท่านั้น สติไม่ใช่ตัวตน เราบังคับไม่ได้ สติไม่เกิดขึ้นตามเวลาที่เราต้องการและไม่นานตามที่เราต้องการ ไม่ว่าเราจะต้องการให้มีสติเกิดขึ้นมากเพียงใด สติก็อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ สติจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น ความเข้าใจนามและรูปและการเจริญวิปัสสนา เป็นปัจจัยให้เกิดสติดังที่รู้กันแล้ว เราควรรู้ด้วยว่าปัญญาที่เข้าใจนั้นก็เป็นอนัตตา จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัย และจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมและจดจำพระธรรมที่ได้ฟังแล้ว ในขณะที่เราพิจารณาธรรมและไตร่ตรองทบทวนเป็นเวลานาน ๆ และเมื่อมีสัญญาความทรงจำอันมั่นคงในธรรมที่ได้ฟังแล้ว สติก็จะระลึกรู้สภาพนามและรูปที่ปรากฏในขณะนี้ ในอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต อิฎฐสูตร ข้อ๗๓ เรื่องธรรม ๑๐ ประการ ที่นำมาซึ่งธรรมอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ๑๐ ประการ กล่าวคือ ....ความไม่เกียจคร้าน ความขยันหมั่นเพียรเป็นอาหารของโภคสมบัติ ๑ การประดับ การตกแต่งร่างกายเป็นอาหารของวรรณะ ๑ การกระทำสิ่งเป็นที่สบายเป็นอาหารของความไม่มีโรค ๑ ความเป็นผู้มีมิตรดีเป็นอาหารของศีลทั้งหลาย ๑ การสำรวมอินทรีย์เป็นอาหารของพรหมจรรย์ ๑ การไม่แกล้งกล่าวให้พลาดจากความจริงเป็นอาหารของมิตรทั้งหลาย ๑ การฟังด้วยดี การสอบถามเป็นอาหารของปัญญา ๑ การประกอบความเพียร การพิจารณาเป็นอาหารของธรรมทั้งหลาย ๑ การปฏิบัติชอบเป็นอาหารของสัตว์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ เป็นอาหารของธรรม ๑๐ ประการนี้แล ซึ่งเป็นธรรมอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ หาได้ยากในโลก ๑ เรารู้ว่าการฟังและสอบถามเป็นสิ่งสำคัญในการเจริญปัญญา ท่านพระธรรมธโรได้ให้ข้อสังเกตว่า เราไม่ควรมีความคิดว่ามีตัวมีตนที่จะปฏิบัติธรรม และจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งเราไม่ได้นึกคิดไปบ้างหรือว่าเราสามารถโน้มน้อมให้เกิดสติและปัญญาได้ ถึงแม้ว่าสติเกิดเราก็จะให้มีสติอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ สติเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ใครจะรู้ขณะต่อไป สภาพธรรมเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เราไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นในขณะต่อไป แล้วเราจะไปเตรียมการให้เกิดสติขึ้นได้อย่างไรเล่า สติจะเกิดขึ้นเมื่อไรและจะระลึกรู้อะไรนั้น เป็นเรื่องที่คาดคิดไม่ได้ ในขณะที่เราจำใครได้นั้น มีจิตนานาชนิดเกิดขึ้นและดับไป การเห็นซึ่งเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสภาพธรรมซึ่งต่างกับการจำใครได้ เวลาเราจำใครได้นั้นเราคิดถึงบัญญัติ การเห็นต้องเกิดขึ้นเสียก่อนแล้วจึงจะจำได้ว่าเป็นใคร ด้วยเหตุนี้เราจึงอาจสงสัยว่าสติไม่ควรระลึกรู้การเห็นก่อน แล้วจึงจะระลึกรู้การคิดดอกหรือ ไม่มีกฎเกณฑ์ไม่มีลำดับก่อนหลังอะไรเลย อาจจะไม่มีการระลึกรู้การเห็น แต่พอจำได้ว่าเป็นใคร สติอาจจะเกิดขึ้นและระลึกรู้การจดจำนั้น แล้วการเห็นก็เกิดขึ้นอีก และสติก็ระลึกรู้การเห็นหรือระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะที่มีการเห็นนั้นก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาด้วย มีสภาพธรรมหลายอย่างในขณะเดียวกัน แต่จิตรู้อารมณ์ได้ทีละอย่าง สติก็ระลึกรู้อารมณ์ได้ทีละอย่างเท่านั้น เราอาจจะสงสัยว่าเราสามารถแยกการเห็นออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตาได้อย่างไร ไม่มีตัวตนที่จะแยกการเห็นออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ ปัญญาสามารถรู้ลักษณะที่ต่างกันของสภาพธรรมเหล่านี้ บางขณะสติก็ระลึกรู้การเห็น บางขณะก็ระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา พิจารณาลักษณะต่าง ๆ ได้ทีละลักษณะ ถ้าใครคิดว่าสามารถรู้การเห็นกับสิ่งที่ปรากฎทางตาในขณะเดียวกันได้แล้ว ก็แสดงว่าไม่มีสติการระลึกรู้เกิดขึ้น เวลาที่รวมสภาพธรรมหลาย ๆ อย่างเข้าเป็นอันเดียวกัน ขณะนั้นก็คิดถึงบัญญัติ หลังจากที่ความรู้ชัดในรูปธรรมและนามธรรมเจริญยิ่งขึ้นแล้ว
ปัญญาจึงจะสามารถประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมเหล่านั้นได้
บางคนอาจสงสัยว่าทำไม่หนอการเกิดขึ้นและดับไปนั้น
จึงไม่สามารถจะรู้ได้ก่อน
ที่จะประจักษ์ความแยกขาดจากกันของการเห็นและสิ่งที่ นี่เป็นเพียงการคิดเรื่องอนิจจังเท่านั้น ไม่ใข่การประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูปจริง ๆ ถ้ายังคงถือว่าการคิดเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นรวมเป็น อันเดียวกัน คุณสุจินต์ถามว่า แล้วอะไรเล่าที่เกิดขึ้นและดับไป อะไรกันแน่ที่เกิดขึ้นและดับไป การเห็นหรือสิ่งที่ปรากฏทางตา อารมณ์จะปรากฎได้ทีละอารมณ์เท่านั้น ขั้นแรกของวิปัสสนาญาณคือ การประจักษ์ความต่างกันระหว่างนามกับรูป การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูปนั้น จะประจักษ์ได้ในขั้นต่อ ๆ ไป จะต้องศึกษาลักษณะที่ต่างกันของสภาพธรรมเหล่านี้เสียก่อน คุณสุจินต์ได้พูดว่า ถ้าคุณไม่ศึกษาพิจารณาการเห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ ก็อย่าได้คิดเลยว่าคุณจะเป็นพระโสดาบันได้
home ปัญหาถาม-ตอบ หนังสือธรรมะ หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"ธรรมจาริกในศรีลังกา"
|
|