Buddhist Study | ธรรมจาริกในศรีลังกา
บทที่ 8 โดย นีน่า วัน กอร์คอม แปลโดย พ.อ. ดร. ชินวุธ สุนทรสีมะ |
|||
|
บทที่ ๘ คำถามอีกข้อหนึ่งในระหว่างการประชุมคือ สติระลึกรู้การกระทำทุกอย่าง เช่น รับประทานอาหาร ขับรถหรือ ขณะที่คิดเรื่องตัวเองว่า กำลังรับประทาน หรือกำลังขับรถนั้นไม่ใช่สติ แต่เป็นการคิดถึงบัญญัติ การรับประทานไม่ใช่เป็นสภาพธรรม การขับรถก็ไม่ใช่สภาพธรรม สติระลึกรู้สภาพธรรม รู้นามธรรมและรูปธรรม และระลึกรู้สภาพธรรมได้ทีละอย่างเท่านั้น สติสามารถระลึกรู้ในขณะทำกิจการงาน เช่น ขณะรับประทานหรือขณะขับรถอยู่ก็ได้ ขณะที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ก็มีสภาพแข็ง รส หรือคิดเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมทั้งสิ้น และสามารถระลึกรู้ได้ทีละอย่างว่าเป็นธาตุแต่ละชนิด ไม่มีบุคคลไม่มีตัวตนเลย การมีสติระลึกรู้สภาพธรรมโดยความเป็นธาตุต่าง ๆ เป็นหนทางที่จะเจริญปัญญา ขณะใดที่หลงลืมสติก็จะต้องยึดมั่นในร่างกายและจิตใจ ในมัชฌมนิกาย มูลปัณณาสก์ สติปัฏฐานสูตร อิริยาบถบรรพ ข้อ ๑๓๔ มีข้อความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่งภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน เมื่อยินก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน หรือ เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใด ๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้น ๆ ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง เราควรระลึกรู้การเดินหรือไม่ เราควรอ่านเนื้อหาของพระสูตรทั้งหมด เพื่อจะได้เข้าใจความหมายของพระสูตรนี้ จะพิจารณากายภายในและภายนอกอย่างไร กายเป็นเพียงบัญญัติไม่ใช่สภาพธรรม กายไม่ได้เกิดขึ้น สิ่งที่เรายึดถือว่ากายนั้นเป็นเพียงธาตุต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นและดับไป ควรระลึกรู้สภาพแข็ง อ่อน ร้อน เย็น ไหว ตึงต่าง ๆ ที่ปรากฏไม่ว่าจะอยู่ภายในหรือภายนอกก็ตาม การพิจารณารู้เช่นนี้จะทำให้แจ้งชัดการเกิดขึ้นและดับไปของธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ได้ต่อไป พระสูตรนี้เตือนให้ระลึกรู้สภาพธรรมใด ๆ ที่ปรากฏในขณะที่เรากำลัง เดิน ยืน นั่ง หรือนอน จะเป็นไปได้ไหมที่จะสอนข้อปฏิบัติง่าย ๆ ในการเจริญวิปัสสนา นี่เป็นคำถามข้อหนึ่งในระหว่างการอภิปราย ถ้าจะมีครูที่บอกให้ทำอะไรก่อนหลัง และถ้าเราปฏิบัติตามแล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้อย่างแน่นอนแล้วละก็ จะต้องง่ายมากทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามพระบรมศาสดาตรัสสอนไม่ให้ทำตามผู้สอนอย่างงมงาย แต่ให้อบรมเจริญอริยมรรคด้วยตนเอง ผู้เป็นกัลยาณมิตรในทางธรรมสามารถที่จะอธิบายหนทางเจริญปัญญาที่ถูกต้องได้ เราควรฟังและใคร่ครวญพิจารณาสิ่งที่ได้ฟังนั้น แล้วศึกษาสภาพธรรมด้วยสติที่ระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏ เราจะต้องอบรมเจริญอริยมรรคด้วยตนเอง ณ บัดนี้ ไม่มีใครสามารถทำให้เราได้ ปัญญานั่นเองไม่ใช่เราที่จะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง เราอาจสงสัยว่า ปัญญาจะสามารถประจักษ์สภาพอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ได้อย่างไร และจะประจักษ์พระนิพพานได้อย่างไร คุณสุจินต์บอกว่า
อย่าประมาทกิจของปัญญา
ปัญญาเท่านั้นที่รู้สภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงไม่ใช่ตัวตน ถ้าหากสติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยให้สติเกิดเท่านั้น เราก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ เราควรพยายามให้มีสติหรือไม่ พอได้ยินคำว่าพยายามเรามักจะนึกถึงตัวตนที่เพียรพยายาม ความเพียรเป็นเจตสิกดวงหนึ่ง (นามธรรมที่เกิดกับจิต) ไม่ใช่ตัวตน ความเพียรเกิดกับจิตทุกดวง ยกเว้นอเหตุกจิต ๑๖ ดวง ความเพียรเกิดไม่แต่เพียงกับกุศลจิตเท่านั้น แต่เกิดกับอกุศลจิตด้วย เวลามีสติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็มีความเพียรด้วยแล้ว
ไม่จำต้องคิดถึงความเพียรอะไรอีก
ถ้าคิดถึงความเพียรก็มักจะเป็นอกุศลจิตที่เกิดต้องการขึ้นมา
อกุศลจิตมีความเพียรผิดเกิดร่วมด้วย ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาวายามะเป็นไฉน คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมให้เกิดฉันทะพยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น ๑ เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้วเสีย ๑ เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น ๑ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือง เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญและบริบูรณ์ของกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ๑ นี้เรียกว่าสัมมาวายามะ ๆ สัมมาวายามะทั้ง ๔ นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ข้อ ๖๒ มีข้อความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนการปรารภความเพียร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้ปรารภความเพียร กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไป ๆ เมื่อสัมมาทิฏฐิในมรรคมีองค์แปดเจริญขึ้น โดยมีสติระลึกรู้นามและรูป ย่อมเป็นปัจจัยแก่สัมมาวายามะในมรรคมีองค์แปด แต่ถ้ายังเห็นว่าเป็นตัวตนที่ทำความเพียร ก็ไม่ใช่สัมมาวายามะในมรรคมีองค์แปด คนโดยมากยังสงสัยว่าแล้วจะทำอย่างไรจึงจะได้ไม่นั่งเฉย ๆ คอยให้ปัญญาเกิดขึ้น ตัวตนที่จะ ไม่ทำอะไรเลย นั้นก็ไม่มี จิตทุกดวงที่เกิดขึ้นทำกิจของจิตนั้น ๆ แม้แต่ในขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าไม่ได้ทำอะไรนั้น สติก็เกิดขึ้นระลึกรู้สภาพความคิดว่าไม่ใช่ตัวตนได้ เมื่อเข้าใจถูกต้องเรื่องอารมณ์ของสติแล้วก็จะไม่ละเลย เมื่อมีปัจจัยให้สติเกิด สติก็เกิดก่อนที่จะตั้งใจระลึกรู้ แต่ถ้าตั้งใจจะระลึกรู้ก็มักจะเป็นโลภะ เราอาจจะรู้สึกว่าการระลึกรู้นี้ช่างยากเย็นเสียจริง ๆ เราควรจะทำอะไรในระหว่างที่ไม่ได้ระลึกรู้นามและรูป ในตอนนั้นมิต้องมีอกุศลเกิดขึ้นเป็นการใหญ่ดอกหรือ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องกุศลต่าง ๆ หลายประเภท บางกาลก็เป็นโอกาสของทานกุศล บางกาลก็เป็นโอกาสของศีล บางกาลก็เป็นโอกาสของความสงบ เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคหรือขณะที่เจริญเมตตา บางครั้งสติก็เกิดขึ้นระลึกรู้สภาพนามและรูป ตัวเราไม่สามารถ เปลี่ยน กุศลจิตชนิดนี้ให้เป็นกุศลจิตชนิดนั้นได้เลย กุศลชนิดไหนจะเกิดขึ้นขณะไหนนั้นย่อมเป็นไปตามปัจจัย การรู้เรื่องกุศลชนิดต่าง ๆ และการเห็นประโยชน์ของกุศลทั้งหลายจะทำให้เราไม่เกียจคร้าน ตามที่ทราบแล้วว่าปัญญาขั้นเข้าใจถูกนั้น เป็นปัจจัยให้สติเกิด นี่เป็นเหตุที่เรามาอภิปรายกันเรื่องสภาพธรรม เช่น การเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา การได้ยินหรือเสียง เรายังเข้าใจผิดอีกมากในเรื่องนามและรูป เราพูดเรื่องการได้ยิน และสนใจความหมายของคำที่เราได้ยิน การสนใจความหมายของคำนั้นไม่ใช่การได้ยิน แต่เป็นการคิดถึงบัญญัติ เราจำบัญญัติไว้ ความทรงจำหรือสัญญาเป็นเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกับจิตทุกดวง ความทรงจำเกิดขึ้นตลอดเวลา จำสิ่งที่ปรากฏทางตา จำเสียง จำสภาพธรรมอื่น ๆ และจำบัญญัติด้วย เพื่อเป็นตัวอย่าง คุณสุจินต์พูดคำว่า เอ ลิ ซา เบธ คุณสุจินต์พูดซ้ำว่า เอ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปหมดแล้ว ลิ เกิดแล้วดับไป ซา เกิดแล้วดับไป เบธ..เกิดแล้วดับไป มีเสียงต่าง ๆ กัน และระหว่างนั้นก็มีจิตเกิดขึ้นหลายขณะ อวิชชาอาจเกิดขึ้นแทรกในระหว่างนั้น หรือสติอาจจะเกิดก็ได้ ขณะที่คิดถึงเสียงต่าง ๆ นั้นไม่ใช่ได้ยิน แต่เป็นขณะที่คิดถึงบัญญัติ ความทรงจำเป็นปัจจัยให้คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของเอลิซาเบธ เราแต่ละคนต่างก็นึกไปถึงเอลิซาเบธที่แต่ละคนรู้จัก เราคิดถึงรูปร่างหน้าตาของคนชื่อนั้นที่เรารู้จัก คิดถึงเสียง หรือจดหมายที่เธอเขียนถึง การคิดเป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกัน เช่น ความรู้สึกสบายใจ ความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความรู้สึกเฉย ๆ ความจริงไม่มีเอลิซาเบธ มีก็แต่บัญญัติเรื่องเอลิซาเบธเท่านั้น ตัวอย่างนี้ทำให้ดิฉันระลึกได้ว่า อวิชชาและมิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้นได้แม้ในระหว่างแต่ละพยางค์ที่เราพูด ทำให้ดิฉันระลึกได้ว่ามีสภาพธรรมหลายอย่างในเวลาสั้น ๆ นั้น ซึ่งจะต้องศึกษาพิจารณาเพื่อประจักษ์สภาพธรรมเหล่านั้นตามความเป็นจริง ศึกษาพิจารณาสภาพธรรมได้ แทนที่จะไม่รู้แม้ในระหว่างขณะที่รู้เสียงต่าง ๆ คุณสุจินต์เตือนเราว่า ขณะที่มีสติระลึกรู้สภาพนามและรูปเป็นขณะที่อยู่ลำพังจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนแวดล้อมมากมายแต่ความจริงแล้วไม่มีคนเลย มีสิ่งที่ปรากฏทางตา มีเห็น มีเสียง มีได้ยิน และสภาพธรรมต่างๆ อีกมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่สติระลึกรู้ได้ทีละอย่าง สภาพธรรมไม่ใช่ของใคร ถ้านึกถึงคน หนึ่งคน สองคน หรือหลายคน โลกของความนึกคิดนั้นก็มีคนมากมาย แต่ตามความเป็นจริงนั้นไม่มีคนเลย มีแต่นามและรูปซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ชีวิตดำรงอยู่เพียงขณะสั้น ๆ ที่รู้อารมณ์หนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง คุณซาร่าห์บอกว่า ยากที่จะรู้ขณะที่เพียงแต่เห็น ซึ่งต่างกับการสนใจรูปทรงสัณฐาน ขณะที่สนใจรูปร่างสัณฐานนั้นไม่ใช่ขณะเห็น คุณสุจินต์ตอบว่า ปัญญาไม่ใช่การจ้องจับขณะนี้ขณะนั้น ควรรู้สภาพลักษณะที่ปรากฏ ไม่ควรคิดถึง ขณะ ถ้าเราคิดถึงขณะนี้ขณะนั้น หรือคอยจับว่า สภาพธรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นก่อนหลังอย่างไร ก็จะเป็นการคิดถึงบัญญัติแทนที่จะเป็นสติ บางทีสติระลึกรู้สภาพเห็น บางทีระลึกรู้สภาพคิด บางทีก็ระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่มีกฏเกณฑ์ว่าสติจะต้องระลึกรู้อารมณ์อะไร เรามักจะโน้มเอียงที่จะพยายามรู้ความต่างกัน ระหว่างการเห็นกับการสนใจรูปร่างสัณฐาน แล้วเราก็หลงติดอยู่กับความพยายามนั้น เราลืมระลึกรู้สภาพที่ติดข้อง ในขณะที่พอใจติดข้องอยู่ ในขณะที่สงสัยลักษณะของสภาพธรรม หรือขณะที่หมดหวังที่จะมีสติ ขณะนั้นก็ควรศึกษาพิจารณาด้วย สภาพธรรมทุกอย่างเป็นอารมณ์ของสติปัฎฐานได้ ไม่ว่าเราจะชอบสิ่งนั้นหรือไม่ชอบก็ตาม
home ปัญหาถาม-ตอบ หนังสือธรรมะ หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"ธรรมจาริกในศรีลังกา"
|
|