Buddhist Study   ธรรมจาริกในศรีลังกา   บทที่ 9
โดย  นีน่า  วัน   กอร์คอม   
แปลโดย  พ.อ. ดร. ชินวุธ   สุนทรสีมะ
   

 

 

home

ปัญหาถาม-ตอบ

หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก

ถาม-ตอบจากหนังสือ


   

บทที่ ๙

การเดินทางของเราเป็นการจาริกแสวงบุญ    เราไปนมัสการปูชนียสถานหลายแห่ง เพื่อระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายในศรีลังกา   ผู้ได้เจริญสติปัฏฐานจนดับกิเลสได้หมดสิ้น   คุณสุจินต์ให้กำลังใจเราให้เพียรพยายามศึกษาและเจริญสติปัฏฐาน   โดยบอกว่า  “ยังไม่พอ ยังไม่พอ   จนกว่าจะได้บรรลุอรหัตตผลแล้ว”

ที่อนุราธปุระ   เราพักที่จวนของผู้ว่าราชการจังหวัด   เป็นที่สงบเงียบร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ภายในเมืองอนุราธปุระอันเก่าแก่   จวนของท่านผู้ว่า ฯ อยู่ในระยะเดินไป “รูวันเวลิสายะ” พระสถูปองค์ใหญ่ (ดากาบะ) ซึ่งพระเจ้าทุฏฐคามินีได้ทรงเริ่มสร้างไว้   พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ประดิษฐานไว้  ณ   พระสถูปแห่งนี้   มีไฟจุดสว่างทุกคืน   มีคนเดินประทักษิณและสวดมนต์อยู่เป็นนิจ   เราไปสักการะพระสถูปหลายครั้ง   และครั้งหนึ่งขณะที่กำลังเดินประทักษิณอยู่นั้น   คุณสุจินต์ก็ได้พูดกับเจ้าบ้านหญิงของเราเรื่องสติปัฏฐาน   คุณสุจินต์เตือนเราให้มีสติระลึกรู้สภาพธรรมทีละลักษณะ ที่ปรากฏทางทวารใด ทวารหนึ่งใน ๖ ทวาร    เราไม่ควรสับสนปะปนทวารทั้ง ๖ นั้น    เราจะรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา   และสภาพธรรมที่ปรากฏทางกายปสาทพร้อมกันไม่ได้    คุณสุจินต์กล่าวว่า   “เวลาที่สภาพธรรมปรากกฏนั้นจะมีเพียงทวารเดียวเท่านั้น   ทิ้งทวารอื่นให้หมด   เราไม่ได้พยายามคิดถึงหลายอย่าง   แทนที่จะระลึกรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏดอกหรือ”

ขณะที่เดินอยู่บนแผ่นหินรอบ ๆ องค์พระสถูปนั้น   บางคนอาจคิดว่าเป็นพื้นแผ่นหิน   นั่นก็แสดงว่าหลงลืมสติ   ทางตาก็มีเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น   ทางกายก็มีเพียงสภาพแข็งเท่านั้นที่ปรากฏ    ถ้าเราไม่เอาทวารต่าง ๆ มาปนกัน   เราจะรู้ว่าในความจริงนั้นไม่มีพื้นหิน   มีแต่เพียงนามและรูปต่าง ๆ ซึ่งปรากฏทีละอย่างเท่านั้น

เรามักถือว่า   การเห็นและสภาพธรรมอื่น ๆ ยั่งยืน  คุณ
สุจินต์เตือนเราว่า   “สภาพธรรมทุกอย่างซึ่งปรากฏนั้นดับไปทันที   สภาพแข็งในขณะนี้ไม่ใช่อันเดียวกับขณะก่อนนี้   สภาพเห็นขณะนี้ก็ไม่ใช่สภาพเห็นขณะก่อน   ถ้าเราคิดว่าเป็นสภาพธรรมเดียวกันก็แสดงว่าหลงลืมสติ”

คุณสุจินต์ให้ข้อสังเกตว่า   “ถ้าไม่เจริญสติเดี๋ยวนี้   ก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้   การตรัสรู้อริยสัจจธรรมย่อมมีได้   ในสมัยพุทธกาลคนเป็นจำนวนมากได้บรรลุอริยสัจจธรรม”

“การเจริญสติเป็นปกติจริง ๆ ไม่ยากนัก ถ้าหากเราไม่คอยแต่จะหลงลืม   แต่เมื่อสติไม่เกิด   ก็ไม่ควรเสียใจ   หากเกิดเสียใจขึ้นก็ระลึกรู้สภาพที่เสียใจนั้น”

ขณะที่กำลังประทักษิณรอบพระสถูปและ ”ศึกษาพิจารณา” สภาพธรรมต่างๆ นั้น   อดีตสมัยที่พระอรหันต์หลายรูปเดินและสอนสติปัฏฐานกันที่นี่ รู้สึกว่าไม่ห่างไกลเลย ท่านเหล่านั้นไม่หลงลืมในการระลึกรู้สภาพธรรมทั้งหลาย

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ในอนุราธปุระซึ่งอยู่ใกล้ กับ “พระสูปรูวันเวลิสายะ”   เป็นปูชนียสถานอีกแห่งหนึ่งที่เราไปสักการะ   พระศรีมหาโพธิ์อยู่บนลานสูงมีลูกกรงทองล้อมรอบ   ตามปกติแล้วเขาจะห้ามไม่ให้คนเข้าไปใกล้ต้นพระศรีมหาโพธิ์   แต่พระภิกษุผู้ดูแลต้นพระศรีมหาโพธ์รูปหนึ่งอนุญาตให้เราขึ้นไปนมัสการบนลานนั้น   คืนหนึ่งพระภิกษุรูปนี้ได้จัดดอกบัวขาวประมาณร้อยดอก ให้เราประดับบูชารอบต้นพระศรีมหาโพธิ์   บรรดาพระสงฆ์ที่เดินนำประทักษิณรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้สวดมนต์ เราได้ดูกิ่งที่แตกใหม่ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเพิ่งจะแตกกิ่งได้ไม่นานเมื่อประมาณสักสองสามเดือนนี่เอง   เรารู้สึกเสมือนว่าอยู่ห่างไกลจากสมัยพุทธกาล    แต่ตราบใดที่ยังมีการสอนและการเจริญสติปัฏฐาน    เราก็ไม่ไอยู่ห่างไกลแต่ประการใดเลย

เมืองอนุราธปุระอันเก่าแก่   และภายในปริมณฑลมีพระสถูปโบราณสถาน และอนุสรณ์สถานต่าง ๆ มากมาย   เจ้าภาพคนหนึ่งของเราได้พาเรานั่งรถจี๊บไปที่ตันตริมาลี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอนุราธปุระ   ท่านสังฆะมิตตาเถรีและคณะที่นำกิ่งตอนของต้นพระศรีมหาโพธิ์จากประเทศอินเดีย ได้แวะพักที่ต้นตริมาลีระหว่างเดินทางไปอนุราธปุระ   หน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นหนึ่งจึงได้ปลูกไว้ที่นี่   ทุกวันนี้ก็ยังเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งขึ้นอยู่บนพื้นดินปนหิน ที่ซึ่งไม่มีไม้อื่นขึ้นได้เลย    ในครั้งกระโน้น ได้นำต้นกล้าของต้นพระศรีมหาโพธิ์หลายต้นไปปลูก   ณ  ที่ต่างๆ   และต่อมาก็ขยายต้นพระศรีมหาโพธิ์ออกถึงสามสิบสองต้นไปปลูกไว้ทั่วทั้งเกาะ

พระบรมสารีริกธาตุหลายองค์ได้นำมายังศรีลังกาจากประเทศอินเดีย   พระบรมสารีริกธาตุพระศอด้านขวา ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้  ณ   พระสถูป “ถูปารามะ” ซึ่งเก่าแก่ที่สุดอยู่ในอนุราธปุระ

ที่ศรีลังกามีสองสามบ้านที่มีพระบรมสารีริกธาตุองค์เล็ก ๆ   เจ้าภาพของเราคนหนึ่งในอนุราธปุระ มีพระบรมสารีริกธาตุองค์หนึ่งและพระธาตุของพระอรหันต์องค์หนึ่ง   ซึ่งป้าของเขามอบให้ประดิษฐานในห้องพระ    กล่าวกันว่าตราบใดที่ยังมีผู้ประพฤติธรรม   พระบรมสารีริกธาตุที่อยู่ในบ้านก็จะไม่สูญหายไป   แต่เมื่อใดละเลยพระธรรม   พระบรมสารีริกธาตุก็จะหายไป    เจ้าภาพของเราได้ให้เราสักการะพระบรมสารีริกธาตุ   และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ให้คนนอกครอบครัวมีโอกาสสักการะ   เขาอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกมาจากตลับที่เก็บ   แล้วให้เราบูชาด้วยดอกไม้   ธูปเทียน   เราสักการะพระบรมสารีริกธาตุและระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอน ให้มีสติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ   อีกครั้งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ใกล้เรา   ขณะที่เราศึกษาพิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

พระเขี้ยวแก้วของพระผู้มีพระภาค ซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศอินเดียในพุทธศตวรรษที่สิบ ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้  ณ   นครหลวงต่าง ๆ ในเวลาต่อมา ปัจจุบันนี้พระเขี้ยวแก้วประดิษฐานอยู่ที่ “ดาละดา มิลิกาวา”   ที่กรุงแคนดี จะมีการอัญเชิญผอบจำลองของผอบจริง ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วเข้าขบวนแห่ในงาน “แคนดีเปราเฮรา” ปีละครั้ง   ช้างที่มีงายาวโค้งซึ่งเป็น “ช้างชนะงา” จะทูนผอบจำลองนี้ในขบวนแห่   พระเขี้ยวแก้วองค์จริงนั้นไม่เคยได้อัญเชิญออกมานอกพระวิหารเลย

ห้องภายในพระวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วนั้น โดยทั่วไปแล้วจะไม่เปิดให้กับสาธารณชน   แต่เราได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้   หลังจากนั้นเราก็ได้ประทักษิณที่บริเวณรอบห้องภายในพระวิหารสามรอบ   ถวายสักการะ  ณ   “ที่สักการะสี่ทิศ”    การบูชาปูชนียสถานต่าง ๆ ในศรีลังกานั้น เป็นโอกาสที่จะระลึกถึงพระผู้มีพระภาคและคำสอนของพระองค์   และระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยประการฉะนี้ เราเรียนรู้ว่าชีวิตเป็นเพียงขณะหนึ่งที่รู้อารมณ์หนึ่งเท่านั้น

ดิฉันได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่ง   และได้อธิษฐานว่า   “ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความตระหนี่น้อยลง”    คุณสุจินต์เตือนดิฉันว่า แม้ในขณะที่เราอธิษฐานนั้นก็อาจจะมีความยึดมั่นก็ได้   เราอาจจะยึดมั่นในความเห็นว่า   “ความตระหนี่ของเรา”  หรือ   “ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของเรา”    นี่แสดงว่าปัญญาจะต้องแหลมคมขึ้นเพียงใด   หาไม่แล้วเราก็จะไม่เห็นความยึดมั่นของตัวเอง และเข้าใจว่าอกุศลเป็นกุศล   แม้แต่ในขณะที่เราทำความดี   อกุศลจิตก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นสืบต่อกุศลจิตโดยเร็ว

ระหว่างที่เราอยู่ที่แคนดี   เจ้าภาพของเราได้กรุณาขับรถพาเราไปเที่ยวทุก ๆ วัน   พาเราไปที่โรงเรียนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งนอกกรุงแคนดี   นักเรียนในโรงเรียนนี้ส่วนมากมาจากครอบครัวที่ยากจน   ครูใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความอดทนและอุตสาหะ ได้ก่อตั้งชมรมของโรงเรียนขึ้น   แม้จะมีอุปสรรคมากมายอย่างไรก็ตาม   หลักการของเขาก็คือ   “อย่าพร่ำบ่นถึงสิ่งที่ไม่มี   จงทำให้อุปสรรคทุกอย่างเป็นโอกาสและการท้าทาย”   ที่โรงเรียนนี้จึงไม่มีใครบ่นอะไรเลย

เราได้สนทนาธรรมกันในโรงเรียน   และครูคนหนึ่งแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาสิงหฬ   คำถามส่วนมากเป็นเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด   เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าชาติหน้ามีจริง   และเราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามีสวรรค์และนรก

เราได้อธิบายว่า   วันนี้เราไม่มีความสงสัยว่ามีเมื่อวานนี้   ทั้งนี้เพราะวันนี้สืบต่อมาจากเมื่อวานนี้   พรุ่งนี้ก็จะสืบต่อจากวันนี้    แม้กระนั้นจิตต่าง ๆ (สภาพรู้ขณะหนึ่ง ๆ)   ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปก็สืบต่อจากขณะหนึ่งไปยังอีกขณะหนึ่ง   จิตที่เกิดก่อนดับไปแล้ว แต่ก็มีปัจจัยของจิตทุกดวงที่ดับไปนั้นสืบต่อไปยังจิตดวงต่อไป   เมื่อจิตดวงสุดท้ายของชาตินี้ดับแล้ว ก็มีจิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ซึ่งเป็นจิตดวงแรกของชาติหน้าคือ ปฏิสนธิจิต

จิตขณะแรกของชาตินี้เกิดขึ้น   เป็นปฏิสนธิจิตของชาตินี้   ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีปัจจัยให้เกิดขึ้น    ปัจจัยของปฏิสนธิจิตนั้นมีอยู่ในชาติก่อน    ปฏิสนธิจิตชาตินี้เกิดสืบต่อจากจิตดวงสุดท้ายของชาติก่อน

ถ้าเราอยากรู้ว่าชาติหน้าของเราจะเป็นอย่างไร   เราก็ควรจะรู้ชาติปัจจุบันของเรา   ชาตินี้มีนามธรรมและรูปธรรมต่าง ๆเกิดขึ้นและดับไป   ชาติหน้าก็จะเป็นอย่างนี้อีก   ชาติปัจจุบันนี้ก็จะเป็นอดีตชาติของชาติหน้านั่นเอง

มีคนสงสัยกันถึงเรื่องร่างกายในชาติหน้า   ตราบใดที่มีปัจจัยให้เกิดใหม่   กรรมก็จะเป็นสมฏฐานก่อให้เกิดรูปพร้อมกับปฏิสนธิจิต   ร่างกายของเราเมื่อวานนี้ดับไปหมดแล้ว   แต่วันนี้ก็มีรูปที่เราเรียกว่า   “ร่างกายของเรา”  อีก    เราไม่สงสัยเรื่องรูปเหล่านี้เลย   แล้วทำไมจึงแคลงใจเรื่องชาติหน้าเล่า

บางครั้งก็มีความโน้มเอียงที่จะพิสูจน์การเกิดใหม่   โดยสอบสวนเรื่องที่มีผู้อ้างว่าระลึกชาติก่อนได้   การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และการหาเหตุผล จะไม่สามาถขจัดความสงสัยและการเข้าใจผิดให้หมดไปได้เลย   การพิสูจน์เช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลที่จะเกิดกับ “ตัวเขา” หลังจากที่ตายไปแล้วหมดไป   ความสงสัยและมิจฉาทิฏฐิจะหมดสิ้นไปได้ก็ด้วยปัญญา ที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเท่านั้น

ที่กรุงโคลอมโบ   เรามีรายการธรรมกับเด็ก ๆ   เรายกตัวอย่างในสิงคาลกสูตร (ทีฆนิกาย ปกฏิกวรรค)   เป็นการสอนเรื่องกุศลชนิดต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในชีวิตประจำวัน   คุณสุจินต์พูดถึงเรื่อความอดทน   เมื่อเราขัดเคืองใจในอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ   ก็แสดงว่าขาดความอดทน   แต่เราอดทนต่ออารมณ์ที่น่าพอใจหรือเปล่า   เราชอบสิ่งที่น่าพึงพอใจ
และขณะใดที่มีโลภะ   ขณะนั้นไม่มีความอดทน    คุณสุจินต์กล่าวว่า   “เมื่ออาหารวันนี้แสนเอร็ดอร่อย   เราอดทนหรือเปล่า   หนูจะรับประทานอาหารเพียงแค่ให้พอดำรงชีวิต หรือว่าจะรับประทานอีกเพราะชอบอาหารนั้น   ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่อดทน”

เด็ก ๆ อยากฟังนิทาน “ชาดก” (อดีตพระชาติของพระผู้มีพระภาค)    ดิฉันจึงอธิบายว่า   ชาดกสอนใจเราเรื่องพระคุณต่าง ๆ ที่พระโพธิสัตว์ได้สะสมตลอดภพชาตินับไม่ถ้วน คุณสุจินต์ถามเด็ก ๆ ว่า   “หนูชอบฟังนิทานชาดกแล้วเรื่องของหนูเองเล่า”    เราชอบฟังเรื่องของคนอื่น   แต่เรารู้จักตัวของเราเองหรือเปล่า    เราควรจะเรียนรู้เรื่องของเราเองด้วย

 

 

 

home      ปัญหาถาม-ตอบ       หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก     ถาม-ตอบจากหนังสือ

หมายเหตุ: คัดลอกจากหนังสือ  "ธรรมจาริกในศรีลังกา"
โดย  Nina Van Gorkom
แปลโดย  พ.อ. ดร. ชินวุธ   สุนทรสีมะ
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

 

Click Here!