Buddhist Study | สมถภาวนา โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์ |
|||
|
สมถภาวนา ไม่ใช่การทำสมาธิ สมาธิเป็นสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์ ซึ่งได้แก่เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เมื่อจิตฝักใฝ่มีอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานๆ ลักษณะของเอกัคคตาเจตสิกก็ปรากฏเป็นสมาธิ คือ ตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเพียงอารมณ์เดียว เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตเป็น มิจฉาสมาธิ เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับกุศลจิตเป็น สัมมาสมาธิ การทำสมาธิให้จิตจดจ่อที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานๆนั้น เมื่อไม่ประกอบด้วยปัญญาก็เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะขณะนั้นเป็นความพอใจที่จะให้จิตตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ที่อารมณ์เดียว เมื่อปราศจากปัญญาก็ไม่สามารถรู้ความต่างกันของโลภมูลจิตและกุศลจิต เพราะโลภมูลจิตและกามาวจรกุศลจิตมีเวทนาประเภทเดียวกันเกิดร่วมด้วย คือ โลภมูลจิต 8 ดวง มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย 4 ดวง มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย 4 ดวง กามาวจรกุศลจิต 8 ดวง มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย 4 ดวง มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย 4 ดวง ฉะนั้น ขณะใดที่อุเบกขาเวทนาเกิดขึ้นหรือโสมนัสเวทนาเกิดขึ้น จึงยากที่จะรู้ว่าจิตที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน หรือขณะที่โสมนัสยินดีเป็นสุขนั้น เป็นโลภมูลจิตหรือเป็นมหากุศลจิต ความต่างกันของโลภมูลจิต 8 ดวงและมหากุศลจิต 8 ดวง คือ โลภมูลจิตมีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย มหากุศลจิตมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย อกุศลเจตสิกที่แสดงความต่างกันของโลภมูลจิตและมหากุศลจิต คือ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด และโสภณเจตสิกที่แสดงความต่างกันของกุศลจิตและโลภมูลจิต คือ สัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นปัญญาเจตสิก ฉะนั้น ความต่างกันของโลภมูลจิต 8 ดวงและมหากุศล 8 ดวง คือ โลภมูลจิต 8 ดวงเกิดร่วมกับทิฏฐิเจตสิก 4 ดวง ไม่เกิดร่วมกับทิฏฐิเจตสิก 4 ดวง มหากุศลจิต 8 ดวงเกิดร่วมกับปัญญาเจตสิก 4 ดวง ไม่เกิดร่วมกับปัญญาเจตสิก 4 ดวง ฉะนั้น ผู้ที่จะเจริญสมถภาวนาจึงต้องรู้ความต่างกันของโลภมูลจิตและกุศลจิต มิฉะนั้น ก็จะทำสมาธิด้วยโลภมูลจิต เป็นมิจฉาสมาธิเมื่อไม่ประกอบด้วย ปัญญา ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำสมาธิไม่ต้องการให้จิตวุ่นวายเดือดร้อนกังวลไปกับเรื่องราวต่างๆ พอใจที่จะให้จิตตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง โดยไม่รู้ว่าขณะที่กำลังต้องการให้จิตจดจ่อที่อารมณ์ที่ต้องการนั้น ไม่ใช่มหากุศลญาณสัมปยุตต์ การเจริญสมถภาวนาเป็นการเจริญมหากุศลญาณสัมปยุตต์
ผู้ที่จะเจริญสมถภาวนาต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นโทษของอกุศลทั้งโลภะและโทสะ
ไม่ใช่เห็นแต่โทษของโทสมูลจิต
ซึ่งเป็นความกังวลใจ
เดือดร้อนใจต่างๆเท่านั้น ผู้ที่ไม่รู้จักกิเลสและไม่เห็นโทษของโลภะ
ย่อมไม่เจริญสมถภาวนา
ฉะนั้น
ผู้ที่เจริญสมถภาวนาจึงเป็นผู้ตรง
มีปัญญาเห็นโทษของโลภะ
และมีสติสัมปชัญญะ
รู้ขณะที่ต่างกันของโลภมูลจิตและมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต
จึงจะเจริญมหากุศลญาณสัมปยุตต์เพิ่มขึ้นๆ
จนอกุศลจิตไม่เกิดแทรกคั่นได้
จนกว่าจะเป็นอุปจารสมาธิ
แล้วบรรลุ การเจริญสมถภาวนาที่จะให้มหากุศลญาณสัมปยุตตจิตเจริญขึ้นๆ จนเป็นบาทให้เกิดปฐมฌานกุศลจิตซึ่งเป็นรูปาวจรกุศลนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก เพราะจะต้องไม่เป็นอภัพพบุคคล คือ ผู้ที่แม้เจริญสมถะหรือวิปัสสนาก็ไม่อาจบรรลุฌานจิตหรือโลกุตตรจิตได้ ผู้ที่เป็นภัพพบุคคล คือ ผู้ที่เมื่อเจริญสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาก็อาจจะบรรลุฌานจิตหรือโลกุตตรจิตได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่
แม้ว่าปฏิสนธิจิตเป็นติเหตุกะ ประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้ายินดีเพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โดยไม่เห็นโทษ ก็ย่อมไม่คิดจะบรรเทาความเพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ด้วยการรักษาศีลและเจริญภาวนา ฉะนั้น การอบรมสมถภาวนาให้ถึงอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ จึงไม่ง่ายเลย ไม่ใช่เพียงการจดจ้องที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่ต้องการ ก็จะเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ที่จะทำให้บรรลุถึงอุปจารสมาธิได้ ถ้าเข้าใจผิดว่าโลภมูลจิตขณะนั้นเป็นมหากุศลก็จะทำให้คิดว่า นิมิตต่างๆที่จิตปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเห็นเป็นนรก สวรรค์ สถานที่ เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆนั้น เป็นอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นฌานจิตขั้นต่างๆ ฉะนั้น สมถภาวนาจึงเป็นเรื่องละเอียดที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจถูกต้องจริงๆ วันหนึ่งๆ ในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ และคิดนึก อกุศลจิตย่อมเกิดมากกว่ากุศลจิต กุศลจิตที่เกิดในวันหนึ่งๆนั้นย่อมเป็นทานบ้าง ศีลบ้าง เพียงเล็กๆน้อยๆ ในแต่ละวันแต่ละเดือน ผู้ที่เห็นโทษของอกุศล จึงอบรมจิตให้เป็นกุศลเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะที่ไม่ใช่ทานและศีล การอบรมจิตให้สงบจากอกุศลทั้งหลายนั้นในวันหนึ่งๆนั้น เป็นกุศลขั้นสมถภาวนาในชีวิตประจำวัน แม้ว่าไม่สามารถจะถึงขั้นอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ก็เป็นสิ่งที่ควรเจริญ แต่การจะระงับจิตให้สงบจากอกุศลนั้น ต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่าจิตจะสงบในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ และคิดนึกได้อย่างไร มิฉะนั้นกุศลจิตก็เกิดไม่ได้ จิตที่สงบจากอกุศลเป็นสมถภาวนานั้น ต้องเป็นกุศลจิตในอารมณ์ 40 อารมณ์ คือ กสิณ 10 อสุภ 10 อนุสสติ 10 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุววัฏฐาน 1 พรหมวิหาร 4 อรูปฌานอารมณ์ 4 กสิณ 10 ชื่อว่า กสิณ เพราะอรรถว่า ทำอารมณ์ทั้งสิ้น กสิณ 10 ได้แก่
เมื่อปัญญาเกิด จิตที่ระลึกถึงดินก็เป็นกุศล เมื่อรู้ว่ารูปทุกอย่างที่ปรากฏปราศจากธาตุดินไม่ได้ สิ่งที่เคยพอใจปราถนาต้องการทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ล้วนเป็นแต่เพียงดินเท่านั้น เมื่อรู้ถึงแก่นแท้ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกที่เคยพอใจปราถนาว่าเป็นแต่เพียงดิน ก็ทำให้ละคลายความพอใจในสิ่งทั้งหลายได้ในขณะที่ระลึกรู้ว่าเป็นเพียงดินเท่านั้น การที่จิตจะเป็นกุศลระลึกถึงแต่ดินนั้น เป็นไปได้ยาก เพราะเมื่ออารมณ์กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็คล้อยไปตามอารมณ์นั้นๆทันที ด้วยเหตุนี้การเจริญสมถภาวนาที่จะให้จิตสงบจากอกุศลมั่นคงขึ้น จึงต้องอาศัยสถานที่เงียบสงัดปราศจากเสียงผู้คนรบกวน และทำดินเป็นวงกลมเกลี้ยง (ปถวีกสิณ) ปราศจากมลทินโทษที่จะทำให้จิตน้อมนึกไปพอใจในรูปร่างสัณฐานต่างๆได้ (ความละเอียดมีในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ สมาธินิเทส ปถวีกสิณ) ขณะที่ดูปถวีกสิณนั้น เมื่อจิตระลึกถึงดินประกอบด้วยปัญญาเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ จิตจึงจะสงบได้ และจะต้องดูปถวีกสิณเพื่อเตือนให้ระลึกถึงดินเท่านั้นเรื่อยๆไป เพื่อไม่ให้จิตรู้อารมณ์อื่น ยากแค่ไหนที่จะต้องระลึกถึงแต่ดิน ด้วยจิตที่สงบจากอกุศลทั้งหลายอยู่เรื่อยๆ โดยดูปถวีกสิณที่ไม่เล็กนักไม่ใหญ่นัก ไม่ห่างนักไม่ใกล้นัก ไม่สูงนักไม่ต่ำนัก ฉะนั้น วิตกเจตสิกจึงเป็นองค์ฌานที่ขาดไม่ได้เลย วิตกเจตสิกที่เกิดกับมหากุศลญาณสัมปยุตตจิตจะต้องจรดที่ปถวีกสิณ ด้วยจิตที่สงบจากอกุศลทั้งหลายทั้งในขณะที่หลับตาและลืมตา จนกว่าอุคคหนิมิต คือ นิมิตของปถวีกสิณจะปรากฏทางมโนทวารเหมือนกับในขณะที่ลืมตา ซึ่งบางท่านแม้ปฏิสนธิจิตจะเป็นติเหตุกะ แต่อุคคหนิมิตก็ไม่ปรากฏเลย อุคคหนิมิตจะปรากฏเมื่อมหากุศลญาณสัมปยุตต์เพิ่มความสงบมั่นคงในปถวีกสิณแล้ว แต่ขณะที่อุคคหนิมิตปรากฏนั้น ก็ยังไม่ถึงอุปจารสมาธิ การประคับประคองให้มหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ตั้งมั่นในอุคคหนิมิตต่อไปและมั่นคงขึ้นนั้นไม่ง่ายเลย ตามข้อความในวิสุทธิมัคค์ ปถวีกสิณนิเทส เมื่อนิวรณ์ทั้งหลาย (อกุศลธรรมที่กลุ้มรุมครอบงำจิต) ระงับลงโดยลำดับแล้ว จิตย่อมสงบมั่นคงเป็นอุปจารสมาธิ เมื่อปฏิภาคนิมิตปรากฏราวกะชำแรกอุคคหนิมิตออกมา ปฏิภาคนิมิตเป็นนิมิตที่ผ่องใสกว่าอุคคหนิมิต ขณะที่ปฏิภาคนิมิตปรากฏนั้น มหากุศลญาณสัมปยุตตจิตสงบมั่นคงถึงขั้นอุปจารสมาธิ คือ สมาธิที่ใกล้ต่อความสงบแนบแน่นในอารมณ์ขั้นอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็น ปฐมฌานจิต การประคับประคองให้มหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ที่สงบถึงขั้นอุปจารสมาธิสงบได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ และเพิ่มความสงบมั่นคงขึ้นจนถึงขั้นที่อัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นจิตขั้นรูปาวจรเป็นปฐมฌานจิตเกิดขึ้นได้นั้น ต้องรักษาอุปจารสมาธิที่ได้แล้ว ดุจนางแก้วรักษาครรภ์ซึ่งเป็นที่อุบัติแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์ และต้องเว้นเหตุอันไม่เป็นสัปปายะ (ธรรมที่สะดวกสบายเกื้อกูลแก่การเจริญภาวนา) 7 อย่างเหล่านี้คือ
7. เว้นอิริยาบถที่ไม่ทำให้จิตตั้งมั่น
เมื่อเว้นสิ่งที่ควรเว้นและเสพสิ่งที่ควรเสพแล้ว อัปปนาสมาธิก็ยังไม่เกิด ก็จะต้องบำเพ็ญอัปปนาโกศลให้เต็มที่ คือ ต้องประกอบด้วยอัปปนาโกศลความรู้ความฉลาดในธรรม ที่เกื้อกูลให้ฌานจิตเกิดขั้นได้ 10 ประการ (วิสุทธิมัคค์ ปฐวีกสิณนิทเทส) คือ
ถ้าไม่เป็นผู้ฉลาดในอัปปนาโกศล 10 นี้ มหากุศลญาณสัมปยุตตจิตก็ไม่อาจเพิ่มความสงบมั่นคงขึ้นอีกจนเป็นบาทให้อัปปนาสมาธิ คือ รูปาวจรปฐมฌานจิตเกิดได้ ขณะที่รูปาวจรปฐมฌานจิตซึ่งเป็นจิตอีกระดับขั้นหนึ่ง คือ เป็นจิตอีกภูมิหนึ่งจะเกิดขึ้น พ้นจากสภาพจิตที่เป็นกามาวจรนั้น วิถีจิตจะเกิดสืบต่อกันตามลำดับทางมโนทวารเป็น ฌานวิถี ดังนี้ ภวังคจิต เป็น
มหาวิบากญาณสัมปยุตต์ รูปาวจรปฐมฌานกุศลจิต ที่เกิดเป็นครั้งแรกนั้นเกิดเพียง 1 ขณะเท่านั้น ต่อเมื่อภายหลังชำนาญขึ้นแล้ว ฌานจิตจึงจะเกิดดับสืบต่อเพิ่มขึ้นๆได้ โดยไม่มีภวังคจิตเกิดแทรกคั่นเลย ตามกำหนดเวลาที่ตั้งใจไว้ได้ ฌานวิถีจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน โดยไม่มีภวังคจิตเกิดแทรกคั่นเลยนั้นเป็น ฌานสมาบัติ คือ เป็นการบรรลุถึงสภาพจิตที่สงบแนบแน่นในอารมณ์ของฌาน ได้ตามกำหนดเวลาที่ตั้งใจไว้ ก่อนที่ฌานวิถีจิตจะเกิดขึ้นนั้น ต้องมีมหากุศลญาณสัมปยุตตจิตเกิดก่อนทุกครั้ง
มหากุศลชวนะขณะที่ 1 เป็นบริกัมม์ คือ เป็นบริกัมม์ของอัปปนาสมาธิ เพราะปรุงแต่งอัปปนา คือ ถ้ามหากุศล ซึ่งเป็นบริกัมม์ไม่เกิด จิตขณะต่อไปและอัปปนาสมาธิ คือ ฌานจิตก็เกิดไม่ได้ มหากุศลชวนะขณะที่ 2 เป็นอุปจาร เพราะเข้าไปใกล้อัปปนาสมาธิ มหากุศลชวนะขณะที่ 3 เป็นอนุโลม เพราะอนุกูลแก่ อัปปนาสมาธิ มหากุศลชวนะขณะที่ 4 เป็นโคตรภู เพราะข้ามพ้นกามาวจรภูมิเพื่อขึ้นสู่รูปาวจรภูมิ เมื่อมหากุศลชวนะขณะที่ 4 ดับแล้ว ชวนวิถีจิตขณะต่อไปจึงเป็นรูปาวจรปฐมฌานกุศลจิต รูปาวจรฌานกุศลจิตประกอบด้วยองค์
5 คือ วิตก วิจาร ปีติ
สุข เอกัคคตา
แม้ว่ามีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย
แต่องค์ประกอบที่ทำให้รูปาวจรปฐมฌานจิตเกิดนั้น
ได้แก่ เจตสิก 5 ดวงนี้
ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อนิวรณธรรม
คือ
อกุศลธรรมที่กลุ้มรุมขัดขวางจิตไม่ให้ดำเนินไปในทางสงบ กามฉันทนิวรณ์
ได้แก่ ความยินดีพอใจในรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ องค์ฌาน 5 เป็นปฏิปักษ์ต่อนิวรณธรรม 5 โดยวิตกเจตสิกจรดที่อารมณ์ซึ่งทำให้จิตสงบได้ และวิจารเจตสิกตามประคองอารมณ์ที่วิตกเจตสิกจรดลง ทำให้จิตไม่ฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่น ปีติเจตสิกเป็นสภาพที่เอิบอิ่ม สุขเวทนาเพิ่มพูนยิ่งขึ้นตามความเอิบอิ่ม และเอกัคคตาที่องค์ฌาน 4 อุปการะอุดหนุนแล้ว ตั้งมั่นคงในอารมณ์โดยอาการของปฐมฌานที่ประกอบด้วยองค์ 5 องค์ฌาน 5 เป็นปฏิปักษ์ต่อนิวรณธรรม 5 (อภิธัมมัตถวิภาวินี ปริจเฉทที่ 2 วิเคราะห์องค์ฌาน) ดังนี้
ก็ไม่ยินดีในกามอารมณ์ใดๆ รูปาวจรปฐมฌานกุศลจิต เป็นอัปปนาสมาธิที่แนบแน่นในอารมณ์ด้วยองค์ฌาน 5 ฉะนั้น ถึงแม้ว่ารูปาวจรฌานกุศลจะเกิดขึ้นครั้งแรกเพียงขณะเดียว เมื่อภวังคจิตเกิดคั่นหลายขณะดับไปแล้ว มโนทวารวิถีจิตก็เกิดสืบต่อ โดยมโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรำพึงถึงองค์ของฌาน 1 ขณะ แล้วดับไป แล้วมหากุศลญาณสัมปปยุตตจิตก็พิจารณาองค์ฌานนั้น 7 ขณะ แล้วภวังคจิตก็เกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นพิจารณาองค์ของฌานทีละองค์ทีละวาระ ขณะที่มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นพิจารณาองค์ฌานแต่ละองค์แต่ละวาระนั้น เป็น ปัจจเวกขณวิถี ซึ่งต้องเกิดต่อจากฌานวิถีทุกครั้ง ปัญญาของผู้บรรลุรูปาวจรฌานกุศลจิต จึงรู้ความต่างกันขององค์ฌานทั้ง 5 คือ รู้ความต่างกันของวิตกเจตสิกและวิจารเจตสิก รู้ความต่างกันของปีติเจตสิกและสุข (โสมนัสเวทนาเจตสิก) และรู้ลักษณะของเอกัคคตาเจตสิกที่เป็นอัปปนาสมาธิ ผู้เจริญสมถภาวนาต้องมีสติสัมปชัญญะอย่างปกติ และรู้ลักษณะของจิตที่เป็นกุศลและอกุศล ที่เกิดสลับกันและแทรกคั่นอย่างรวดเร็วได้ถูกต้อง มิฉะนั้นก็จะเข้าใจผิดว่า โลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาเป็นความสงบและเป็นกุศล ผู้เจริญสมถภาวนาไม่มีอาการผิดปกติใดๆเลย เพราะการเจริญสมถภาวนาเป็นการเจริญกุศลทางใจ ซึ่งเมื่อจิตสงบแล้ว ก็จะปรากฏแต่นิมิตของอารมณ์ ที่ทำให้จิตน้อมเป็นกุศลมั่นคงยิ่งขึ้น เช่น ผู้ที่เจริญอาโปกสิณก็มีนิมิตของอาโปกสิณเป็นอารมณ์ จะไม่เห็นนรกสวรรค์ เหตุการณ์เรื่องราวต่างๆเลย ขณะที่ทำสมาธิแล้วเห็นภาพต่างๆ
ขณะนั้นไม่ใช่ การเจริญสมถภาวนาต้องเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต
ซึ่งสงบเพราะระลึกอารมณ์ของสมถภาวนาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งใน
40 อารมณ์
แม้โลภมูลจิตหรือมหากุศลญาณวิปปยุตตจิต
จะมีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน 40
อารมณ์ ก็ไม่ใช่สมถภาวนา เช่น
เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ท่องพุทโธโดยไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณประการต่างๆ
ก็ไม่ใช่มหากุศลญาณสัมปยุตตจิต
ผู้ที่เห็นซากศพแล้วตกใจกลัวก็เป็น เมื่อผู้บรรลุปฐมฌานกุศลเห็นโทษของวิตกเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกที่จรดในอารมณ์ว่า ปกติย่อมจรดในอารมณ์ที่เป็นกามอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงยังใกล้ชิดต่ออกุศลธรรมทั้งหลาย ถ้าสามารถให้ฌานจิตนั้นปราศจากวิตกเจตสิก ให้มีแต่วิจารเจตสิก ปีติ สุข เอกัคคตา ก็ย่อมสงบประณีตกว่า จึงเพียรระลึกถึงอารมณ์ของปฐมฌานกุศลที่บรรลุแล้ว และพยายามประคองให้จิตสงบมั่นคงที่อารมณ์ของปฐมฌาน โดยไม่ให้วิตกเจตสิกต้องจรดในอารมณ์นั้นเลย ซึ่งจะสำเร็จได้เมื่อถึงพร้อมด้วย วสี 5 คือ ความชำนาญแคล่วคล่องในฌาน 5 ประการก่อน วสี 5 (ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามัคค์ มหาวรรค ญาณกถา ข้อ ๒๒๕) คือ
การที่จะบรรลุฌานจิตขั้นสูงขึ้นไปได้นั้น ต้องเห็นโทษขององค์ฌานขั้นต้นๆ แล้วละองค์ฌานได้ตามลำดับ คือ ทุติยฌาน ละวิตก
จึงประกอบด้วยองค์ฌาน 4 คือ วิจาร
ปีติ สุข เอกัคคตา การละองค์ฌานไปทีละองค์นั้น เป็นฌานโดยปัญจกนัย คือ โดยนัยของฌาน 5 สำหรับผู้ที่ปัญญาสามารถละวิตกและวิจารได้พร้อมกันนั้น เป็นฌานโดยจตุตถนัย คือ โดยนัยของฌาน 4 ดังนี้ ทุติยฌาน ละวิตก
วิจาร จึงประกอบด้วยองค์ฌาน 3
คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
เมื่อฌานวิถีจิตดับแล้ว ปัจจเวกขณวิถีต้องเกิดต่อทุกครั้ง การระงับกิเลสด้วยการเจริญสมถภาวนา ไม่ใช่การดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ฉะนั้น ฌานจิตจึงเสื่อม คือ เกิดช้าไม่ชำนาญคล่องแคล่วเหมือนเดิม หรืออาจจะไม่เกิดอีกเลยก็ได้ ฉะนั้น ที่ฌานจิตจะเกิดได้คล่องแคล่วจึงต้องมีวสีทุกๆฌานอยู่เสมอ (ความละเอียดมีในวิสุทธิมัคค์) อารมณ์ของสมถภาวนา
40 อารมณ์นั้น
บางอารมณ์จิตก็สงบได้ไม่ถึงอุปจารสมาธิ
บางอารมณ์จิตก็สงบได้ถึงอุปจารสมาธิ
บางอารมณ์จิตก็สงบได้ถึงปฐมฌานเท่านั้น
บางอารมณ์ก็สงบได้ถึงจตุตถฌานโดยปัญจกนัย
บางอารมณ์ก็สงบได้ถึงปัญจมฌาน
และบางอารมณ์ก็เป็นอารมณ์เฉพาะปัญจมฌานเท่านั้น
ดังนี้คือ อนุสสติ 6 ได้แก่ อนุสสติ 2 คือ อุปสมานุสสติ การระลึกถึงพระนิพพาน และมรณานุสสติ การระลึกถึงความตายนั้น มรณานุสสติสงบได้ถึงอุปจารสมาธิเท่านั้น แต่อุปสมานุสสติสงบได้ถึงอุปจารสมาธิเฉพาะผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้น อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 คือ การระลึกถึงความปฏิกูลของอาหาร จิตสงบได้ถึงอุปจารสมาธิ จตุธาตุววัฏฐาน 1 คือ การระลึกถึง ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่กาย จิตสงบได้ถึงอุปจารสมาธิ อสุภ 10 คือ การระลึกถึงสภาพของซากศพ 10 อย่าง จิตสงบได้ถึงปฐมฌาน กายคตาสติ (อนุสสติ) 1 คือ การระลึกถึงความไม่น่าใคร่ของส่วนต่างๆ คือ อาการ 32 ของกายแต่ละส่วน เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น จิตสามารถสงบได้ถึงปฐมฌาน อานาปานสติ (อนุสสติ) 1 การระลึกถึงลมหายใจ จิตสงบได้ถึงปัญจมฌาน กสิณ 10 จิตสงบได้ถึงปัญจมฌาน พรหมวิหาร 3 คือ เมตตา 1 กรุณา 1 มุทิตา 1 จิตสงบได้ถึงจตุตถฌานโดยปัญจกนัย (ตติยฌานโดยจตุตถนัย) พรหมวิหาร 1 คือ อุเบกขาพรหมวิหาร เมื่อจิตสงบจากพรหมวิหาร 3 ถึงจตุตถฌานแล้วจึงเจริญอุเบกขาพรหมวิหารต่อไปได้ ในบรรดาพรหมวิหาร 4 อุเบกขาพรหมวิหารจึงเป็นอารมณ์ของเฉพาะปัญจมฌาน ฌานเดียวเท่านั้น อรูปฌาน 4 คือ ปัญจมฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ ผู้ที่จะเจริญอรูปฌานได้นั้น ต้องบรรลุรูปปัญจมฌานก่อน เมื่อเห็นโทษของรูปปัญจมฌานว่า ถึงแม้จะเป็นรูปฌานขั้นสูงสุด คือ ขั้นรูปปัญจมฌานก็จริง แต่เมื่อยังมีรูปเป็นอารมณ์อยู่ ก็ยังใกล้ชิด หวั่นไหวต่อการที่จะน้อมไปสู่รูปที่เป็นกามอารมณ์ได้ง่าย ควรที่จะเพิกรูปที่เป็นอารมณ์ แล้วน้อมจิตไปสู่อารมณ์ที่ไม่ใช่รูปซึ่งสงบประณีตกว่ารูป เมื่อเพิกรูปและระลึกถึงความไม่มีที่สุดของอรูปเป็นอารมณ์ จนอัปปนาสมาธิเกิด ก็เป็นอรูปฌานกุศลโดยวิถีจิตเกิดดับสืบต่อกันทางมโนทวาร เช่นเดียวกับฌานวิถีและต้องประกอบด้วยวสี 5 จึงจะบรรลุถึงอรูปฌานขั้นสูงขึ้นๆได้ อรูปฌานมี 4 ขั้น เป็นปัญจมฌานทั้ง 4 ขั้น แต่ต่างกันที่อารมณ์ละเอียดขึ้นเป็นลำดับขั้น คือ อรูปฌานที่ 1 อากาสานัญจายตนฌานจิต มีอากาศซึ่งไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ อรูปฌานที่ 2 วิญญาณัญจายตนฌานจิต มีอากาสานัญจายตนจิตเป็นอารมณ์ เพราะพิจารณาเห็นว่าอากาศซึ่งไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์นั้น ก็ยังไม่ละเอียดประณีตเท่ากับอากาสานัญจายตนจิต ซึ่งมีอากาศที่ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ ฉะนั้น จึงล่วงอากาศที่ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ แล้วน้อมไปสู่อากาสานัญจายตนจิตเป็นอารมณ์ จนอัปปนาสมาธิเกิดขึ้นเป็นอรูปฌานที่ 2 คือ วิญญาณัญจายตนฌานจิตซึ่งเป็นอรูปฌานจิตที่มีวิญญาณ คือ อากาสานัญจายตนจิตเป็นอารมณ์ อรูปฌานที่
3 อากิญจัญญายตนฌานจิต
มีภาวะที่ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์
เพราะเป็นภาวะที่ไม่มีอากาสานัญจายตนจิตเป็นอารมณ์แล้ว
เมื่อพิจารณาเห็นว่าเมื่อยังมีอากาสานัญจายตนจิตเป็นอารมณ์แล้ว
เมื่อพิจารณาเห็นว่า
เมื่อยังมีอากาสานัญจายตนจิตเป็นอารมณ์อยู่ก็ยังไม่สงบ
ไม่ละเอียดประณีตเท่ากับไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์
จึงล่วงอากาสานัญจายตนจิต
ซึ่งเป็นอารมณ์
แล้วน้อมไปสู่ภาวะที่ไม่มีอากาสานัญจายตนจิตเป็นอารมณ์
จนอัปปนาสมาธิเกิดขึ้นเป็นอรูปฌานที่
3 คือ อากิญจัญญายตนฌานจิต อรูปฌานที่ 4
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต
มี การเจริญสมถภาวนาจนจิตสงบจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
ถึงขั้นอรูปฌานนั้นเป็นจิตที่มีกำลัง
สามารถฝึกให้เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ได้
เช่น ระลึกชาติได้
อธิษฐานให้เกิดทิพจักขุเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ไกลหรือมีสิ่งกำบังได้
อธิษฐานให้เกิดโสตทิพ
ได้ยินเสียงต่างๆทั้งที่ใกล้
ที่ไกลได้
กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ
เช่น เดินบนน้ำ ไปในดิน
เหาะไปในอากาศ
และเนรมิตสิ่งต่างๆได้เป็นต้น
แต่การจะฝึกอบรมให้เกิดคุณวิเศษแต่ละอย่างนี้
จะต้องเป็นผู้สามารถในกสิณทุกกสิณ
และฌานสมาบัติทั้ง 8 (รูปฌาน 4
โดยจตุตถนัยและอรูปฌาน 4)
อย่างยอดเยี่ยม
และต้องฝึกจิตโดยอาการ 14
(วิสุทธิมัคค์ สมาธินิเทส
การกระทำใดๆหรือพฤติกรรมใดๆ ที่ดูคล้ายคุณวิเศษทั้งหลายนั้น หาใช่คุณวิเศษที่แท้จริงไม่ เมื่อเหตุไม่สมควรแก่ผล ข้อความในวิสุทธิมัคค์แสดงว่า ผู้เริ่มบำเพ็ญเพียรยังไม่ได้ฝึกจิตด้วยอาการ 14 เหล่านี้ จักยังอิทธิฤทธิ์ต่างๆให้สำเร็จได้นั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้เลย แม้ในการบริกัมม์กสิณ คือ การเริ่มบำเพ็ญสมถภาวนานั้น ในร้อยคนหรือในพันคนย่อมสามารถจะกระทำสำเร็จได้เพียงคนเดียว และเมื่อเมื่อเจริญสมถภาวนา คือ บริกัมม์กสิณไปแล้ว ที่อุคคหนิมิตจะเกิดได้ในร้อยคนหรือพันคนนั้นย่อมสามารถเพียงคนเดียว เมื่ออุคคหนิมิตเกิดแล้ว การรักษานิมิตไว้ และการประคับประคองจิตให้สงบมั่นคงขึ้น จนปฏิภาคนิมิตเกิดแล้วบรรลุอัปปนาสมาธินั้น ในร้อยคนหรือพันคนย่อมสามารถเพียงคนเดียว ในบรรดาผู้ที่บรรลุฌานสมาบัติ 8 แล้วนั้น ในร้อยคนพันคน จะฝึกจิตโดยอาการ 14 นี้ได้เพียงคนเดียว ในบรรดาผู้ที่ฝึกจิตโดยอาการ 14 ได้แล้ว ในร้อยคนหรือพันคนจะสามารถแสดงฤทธิ์ได้เพียงคนเดียว และในบรรดาผู้แสดงฤทธิ์ได้ร้อยคนหรือพันคนนั้น ผู้ที่จะแสดงฤทธิ์ได้อย่างฉับพลัน ก็จะสามารถสักคนเดียว แม้ในเรื่องการระลึกชาติก็นัยเดียวกัน ใครเลยจะได้อุปจารสมาธิเมื่อไม่ใช่จิตที่สงบด้วยมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ใครเลยจะได้อัปปนาสมาธิซึ่งเป็นปฐมฌาน ใครเลยจะได้ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุถฌาน ปัญจมฌาน และอรูปฌาน ใครเลยจะฝึกอบรมระลึกชาติ โดยฝึกระลึกย้อนจากขณะนี้ไปทุกๆขณะ จนถึงเช้าวันนี้ ถอยไปจนถึงค่ำคืนวันก่อน เช้าวันก่อน ค่อยๆระลึกถอยไปๆ ด้วยจิตที่สงบมั่นคงจนถึงปฏิสนธิ แล้วจึงจะถึงขณะสุดท้ายวันสุดท้ายของชาติก่อน แล้วจึงถอยไปๆ ตามลำดับด้วยกำลังของฌานจิตที่ฝึกอบรมให้คล่องแคล่วเป็นกำลัง เมื่ออธิษฐานให้มหากุศลญาณสัมปยุตตจิตเกิดระลึกได้สำเร็จ จากขณะหนึ่งแล้วถอยไปอีกขณะหนึ่งๆ ผู้ที่ศึกษาเข้าใจเหตุและผลของคุณวิเศษทั้งหลาย โดยละเอียด จึงรู้ได้ว่าพฤติการณ์ใดเป็นคุณวิเศษที่แท้จริง และพฤติการณ์ใดไม่ใช่คุณวิเศษที่แท้จริง การเจริญสมถภาวนาไม่ใช่การดับกิเลสเป็นสมุจเฉท
เพราะไม่ใช่การประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง
เมื่อฌานจิตไม่เสื่อมและฌานวิถีจิตเกิดก่อนจุติจิต
เป็นกัมมปัจจัยให้ฌานวิบากจิตปฏิสนธิในพรหมภูมิขั้นต่างๆ
แต่เมื่อหมดอายุของพรหมภูมินั้นๆแล้ว
ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก
คือ ยินดี พอใจ ติดข้อง
ในตัวตน ในรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ
การเคยเจริญสมถภาวนาสะสมมาบ้างในชาติก่อนๆ
ในสังสารวัฏฏ์
อาจจะทำให้บางท่านมีลางสังหรณ์
เป็นต้น
ส่วนผู้ที่ทำสมาธิแล้วเห็นสิ่งต่างๆ
เห็นเหตุการณ์ต่างๆนั้น
เมื่อไม่ใช่การอบรมเจริญสมถภาวนาด้วยมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต
ที่สงบแนบแน่นมั่นคงในอารมณ์ตามลำดับจนเป็นฌานจิตขั้นต่างๆ
ซึ่งย่อมจะเป็นไปได้ยากยิ่งนั้น
ก็ไม่ใช่คุณวิเศษที่เป็นอุตริมนุสสธรรม
คือ
ธรรมที่ยิ่งกว่าปกติของมนุษย์ทั้งหลาย
ฉะนั้น
เมื่อทำสมาธิแล้วเห็นสิ่งต่างๆบ้าง
เห็นเหตุการณ์ต่างๆเป็นต้นนั้น การเจริญสมถภาวนาที่จะบรรลุถึงแม้อุปจารสมาธิก็แสนยาก เพราะปกติเมื่ออารมณ์ใดกระทบตา
หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ก็ย่อมคล้อยตามอารมณ์นั้นด้วย ก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาค
ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรเจริญสมถภาวนา
จนบรรลุถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
และฝึกอบรมจิต
จนอธิษฐานให้มีตาทิพย์
หูทิพย์ ระลึกชาติได้
และสามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้
แต่แม้กระนั้น
ท่านเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
เมื่อไม่ได้อบรมเจริญเหตุ คือ
วิปัสสนาภาวนาจนสมบูรณ์ที่จะเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
และบางท่านก็ยังเห็นผิดยึดมั่นในการปฏิบัติซึ่งไม่ใช่หนทางให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม
แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรมแล้ว
ผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยสาวกที่ไม่บรรลุฌานจิต
ก็มีมากกว่าพระอริยสาวกผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมพร้อมด้วยองค์ของฌานขั้นต่างๆ ทั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าการเจริญสมถภาวนาที่ถูกต้องนั้น เป็นสิ่งกระทำได้ยากเพียงใด
หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"ปรมัตถธรรมสังเขป จิตสังเขป
และภาคผนวก"
|
|