Buddhist Study | บทที่1 ปรมัตถธรรม 4 | |||
home
"เมื่อรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละประเภทมากขึ้น ก็จะยิ่งรู้ชัดขึ้นว่า "ตัวตน" นั้นเป็นเพียงความคิดเห็น ไม่ใช่ปรมัตถธรรม"
"ไม่มีจิตดวงใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากอารมณ์ แม้ในขณะที่นอนหลับสนิท จิตก็รู้อารมณ์ "
"การรู้ว่าจิตแต่ละดวงเป็นชาติอะไรนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราไม่สามารถเจริญกุศลได้ ถ้าเราสำคัญผิดว่าอกุศลเป็นกุศลหรืออกุศลเป็นวิบาก"
"จิตเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้เลย เช่น ความรู้สึก ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า เวทนา เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทุกดวง "
"แม้ว่าจิตและเจตสิกเป็นนามธรรม แต่ก็มีลักษณะต่างกัน "
"รูปแต่ละรูปไม่เกิดตามลำพังรูปเกิดรวมกันเป็นกลุ่ม อย่างน้อยที่สุดต้องมีรูป 8 รูปเกิดรวมกัน"
"ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือโต๊ะ ลักษณะที่แข็งนั้นเป็นแข็งเหมือนกัน สภาพแข็งเป็นปรมัตถธรรม "ร่างกาย" หรือ "โต๊ะ" ไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่เป็นสมมุติบัญญัติ "
"สังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ไม่เที่ยง (อนิจจัง) สังขารธรรมเป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง"
"นิพพานเป็นนามธรรมซึ่งไม่รู้อารมณ์ แต่นิพพานเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกได้ "
"นิพพานเป็นนามธรรม
แต่นิพพานก็ไม่ใช่จิตหรือเจตสิก
นิพพานเป็นนามธรรมที่ไม่เกิดและไม่ดับ
เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ซึ่งภาษาบาลี เรียกว่า |
สภาพธรรมมี 2 อย่าง คือ นามธรรม และ รูปธรรม นามธรรมเป็นสภาพรู้ รูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร เช่น การเห็นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่รู้สี สีเป็นรูป สีไม่รู้อะไร สิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นตัวตนนั้น เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ในวิสุทธิมัคค์ ทิฏฐิวิสุทธินิทเทส มีข้อความว่า
สภาพธรรมทั้งหลายทั้งภายในกายและภายนอกกายเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ไม่เที่ยง นามธรรมและรูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริง
ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า ปรมัตถธรรม นามธรรมและรูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน ถ้าเราไม่แยกนามธรรมและรูปธรรมออกจากกัน และไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแล้ว ก็ย่อมยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน เช่น การได้ยินเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปร่างสัญฐาน การได้ยินต่างจากโสตปสาท แต่ก็มีโสตปสาทเป็นปัจจัยสำคัญ นามธรรมที่ได้ยินเป็นสภาพธรรมที่รู้เสียง โสตปสาทและเสียงเป็นรูปธรรมซึ่งไม่รู้อะไร แตกต่างจากนามธรรมที่ได้ยินโดยประการทั้งปวง เมื่อไม่รู้ชัดว่า การได้ยิน โสตปสาท และเสียง เป็นสภาพธรรมที่ต่างกันแล้ว ก็จะยังยึดถือต่อไปว่าเป็นตัวตนที่ได้ยิน
นามธรรมซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งมี 2 ประเภท คือ จิต และ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต)จิตและเจตสิกเกิดพระเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป จิตเป็นสภาพธรรมที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จิตแต่ละดวงต้องมี สิ่ง ที่จิตกำลังรู้ ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า อารมฺมณ จิตที่เห็นมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ จิตที่ได้ยินมีเสียงเป็นอารมณ์ ไม่มีจิตดวงใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากอารมณ์ แม้ในขณะที่นอนหลับสนิท จิตก็รู้อารมณ์ จิตมีมากมายหลายประเภทซึ่งจำแนกได้เป็นหลายนัย จิตบางประเภทเป็น อกุศล จิตบางประเภทเป็น กุศล อกุศลจิตและกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิดกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เป็นอกุศลและกุศลได้ จิตบางประเภทเป็นวิบากจิต คือ เป็นผลของอกุศลกรรมหรือกุศลกรรม จิตบางประเภทเป็น กิริยาจิต คือ เป็นจิตที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศลและไม่ใช่วิบาก เมื่อจำแนกจิตโดยชาติ (ชาติคือการเกิดขึ้น) จิตมี 4 ชาติ คือ อกุศล1, กุศล1, วิบาก1, กิริยา1 การรู้ว่าจิตแต่ละดวงเป็นชาติอะไรนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราไม่สามารถเจริญกุศลได้ ถ้าเราสำคัญผิดว่าอกุศลเป็นกุศลหรืออกุศลเป็นวิบาก เช่น เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เป็นที่พอใจ ขณะที่ได้ยินเสียงนั้น โสตวิญญาณเป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของอกุศลกรรมหนึ่งที่ได้กระทำไปแล้ว แต่โทสะซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ใช่วิบากจิต แต่เป็น อกุศลจิต การจำแนกจิตอีกนัยหนึ่ง คือ จำแนกโดย ภูมิระดับขั้นของจิต จิตมี 4 ภูมิ คือ กามาวจรจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต โลกุตตรจิต กามาวจรจิต เป็นจิตที่รู้กามอารมณ์ ได้แก่ จิตเห็น จิตได้ยิน จิตลิ้มรส และจิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายเป็นต้น ยังมีจิตภูมิอื่นๆอีก คือจิตที่ไม่รับรู้กามอารมณ์ ผู้ที่เจริญ สมถภาวนา บรรลุอัปปนาสมาธิ (สมาธิขั้นฌาณ) มีฌาณจิต ฌาณจิตเป็น จิตอีกภูมหนึ่ง ซึ่งไม่รับรู้กามอารมณ์ โลกุตตรจิต เป็นจิตภูมิสูงสุดเพราะเป็นจิตที่ประจักษ์แจ้งนิพพาน นอกจากนั้น ยังจำแนกจิตตามนัยอื่นๆอีก และถ้าพิจารณาความแรงกล้า หยาบ และละเอียดของจิตแล้ว จิตก็ยังต่างกันไปอีกมากมาย เช่น อกุศลจิต ซึ่งมีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นมูลนั้น ย่อมมีความแรงกล้า หยาบ และละเอียดต่างกัน บางครั้งก็อาจเป็นเหตุให้กระทำกรรมต่างๆ บางครั้งก็ไม่กระทำกรรมต่างๆ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความแรงกล้าของอกุศลจิต กุศลจิตก็มีความแรงกล้าระดับขั้นต่างๆเช่นเดียวกัน จิตทั้งหมดมี 89 หรือ 121
ดวง (ประเภท) ปรมัตถธรรมที่สองคือ เจตสิก
ซึ่งเป็นนามธรรม
ดังที่ทราบว่า
จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ จิตเห็น
มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์
จิตได้ยิน
มีเสียงเป็นอารมณ์ การคิดนึก
มีเรื่องที่คิดนึกเป็นอารมณ์
แต่ไม่ใช่ว่า
มีแต่จิตเพียงอย่างเดียว
ยังมีนามธรรมอื่นๆอีกมากด้วย
คือมี เจตสิกหลายดวงเกิดร่วมกับจิตดวงหนึ่งๆ
เราอาจจะคิดอะไรด้วยโทสะ
หรือด้วยความรู้สึกเป็นสุข
หรือด้วยปัญญา จิตมีหน้าที่รู้อารมณ์ จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้อารมณ์ เจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตมีอารมณ์เดียวกันกับจิต แต่เจตสิกแต่ละดวงนั้น ก็มีลักษณะและกิจเฉพาะของตนๆ เจตสิกทั้งหมดมี 52 ดวง (ประเภท) มีเจตสิก 7 ดวงที่เกิดร่วมกับจิตทุกดวง แต่เจตสิกอื่นๆไม่ได้เกิดกับจิตทุกดวง สภาพธรรมที่จำ ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า สัญญา เป็นเจตสิกอีกประเภทหนึ่งซึ่งเกิดกับจิตทุกดวง ในวิสุทธิมัคค์ขันธนิทเทส แสดงลักษณะของสัญญา ซึ่งมีลักษณะจดจำว่า
จิตรู้อารมณ์เท่านั้น จิตไม่จดจำอารมณ์ สัญญาจำหมายอารมณ์ที่ปรากฏ ซึ่งเมื่ออารมณ์นั้นปรากฏอีก สัญญาก็จำได้ ขณะใดที่จำได้นั้น ขณะนั้นเป็นสัญญาเจตสิก ไม่ใช่ตัวตนที่จำได้ เช่น เป็นสัญญานั้นเองที่จำได้ว่า นี้เป็นสีแดง นี้เป็นบ้าน หรือนี้เป็นเสียงนก เป็นต้น เจตนา ความตั้งใจ เป็นเจตสิกอีกประเภทหนึ่งที่เกิดกับจิตทุกดวง มีเจตสิกอื่นๆที่ไม่ได้เกิดร่วมกับจิตทุกดวง อกุศลเจตสิกเกิดร่วมกับอกุศลจิตเท่านั้น โสภณ (ดีงาม) เจตสิกก็เกิดร่วมกับโสภณจิต โลภะ โทสะ และ โมหะ เป็นอกุศลเจตสิก ซึ่งเกิดร่วมกับอกุศลจิตเท่านั้น เช่น เมื่อเราเห็นสิ่งที่สวยงาม จิตที่ยินดีพอใจในสิ่งที่เห็นอาจเกิดขึ้น จิตในขณะนั้นมีโลภะเจตสิกเกิดร่วมด้วย โลภเจตสิกทำกิจติดข้องในอารมณ์ ยังมีอกุศลเจตสิกอื่นๆอีกที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต เช่น ความสำคัญตน (มานะ) ความเห็นผิด (ทิฏฐิ) และ ความริษยา (อิสสา) เป็นต้น โสภณเจตสิก
เกิดร่วมกับโสภณจิต เช่น อโลภเจตสิก
อโทสเจตสิก อโมห (ปัญญา)
เจตสิก แม้ว่าจิตและเจตสิกเป็นนามธรรม
แต่ก็มีลักษณะต่างกัน
บางคนคงสงสัยว่าจะรู้ลักษณะของเจตสิกได้อย่างไร
เราอาจรู้ลักษณะของเจตสิกได้เมื่อสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงของจิต
เช่น
อกุศลจิตซึ่งมีมัจฉริยะ (ตระหนี่)
เจตสิกเกิดขึ้น
หลังจากที่กุศลจิตซึ่งมีอโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วยดับไป
ทำให้เรารู้ว่ามัจฉริยเจตสิกมีลักษณะต่างจากอโลภเจตสิก
เราอาจสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงจากความยินดีเป็นความยินร้าย
จากความสบายใจเป็นความไม่สบายใจ
เวทนาเป็นเจตสิกประเภทหนึ่งที่สามารถสังเกตุรู้ได้
เพราะบางครั้งเวทนาปรากฏชัด
และมีเวทนาหลายประเภท
เราสามารถจะรู้ได้ว่า
โทมนัสเวทนาต่างกับโสมนัสเวทนาและอุเบกขาเวทนา ปรมัตถธรรมไม่ใช่มีแต่นามธรรมเท่านั้น ยังมีรูปธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมที่ 3 รูปทั้งหมดมี 28 รูป (ประเภท) รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน มี 4 รูป ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า มหาภูตรูป 4 คือ
มหาภูตรูป 4
มีรูปอื่นๆซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า
อุปาทายรูป
เกิดร่วมด้วย
รูปแต่ละรูปไม่เกิดตามลำพังรูปเกิดรวมกันเป็นกลุ่ม
อย่างน้อยที่สุดต้องมีรูป 8
รูปเกิดรวมกัน เช่น
เมื่อเตโชเกิดขึ้น ปถวี
อาโป วาโย
และรูปอื่นๆต้องเกิดร่วมด้วย ลักษณะต่างๆของรูปสามารถรู้ได้ทางตา
ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น
ทางกาย และทางใจ จิต เจตสิก และรูป
เกิดขึ้นเมื่อมี ปัจจัยปรุงแต่ง
เท่านั้น ภาษาบาลีเรียกว่า
สังขารธรรม ปรมัตถธรรมที่ 4 คือ นิพพาน
นิพพานเป็นธรรมที่ดับกิเลส
นิพพานเป็นอารมณ์ที่รู้แจ้งได้ทางมโนทวาร
เมื่อประพฤติปฏิบัติตามหนทางที่ถูกต้องซึ่งนำไปสู่นิพพาน
ซึ่งเป็นการอบรมเจริญปัญญารู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง
เมื่อศึกษาพระธรรม
จำเป็นจะต้องรู้ว่า
สภาพธรรมใดเป็นปรมัตถธรรมประเภทใด
มิฉะนั้นแล้วคำสมมุติบัญญัติต่างๆ
อาจทำให้เราเข้าใจผิดได้
เช่น เราควรทราบว่า
สภาพธรรมที่เรียกว่า
"ร่างกาย" เป็นรูป
ปรมัตถ์ต่างๆไม่ใช่จิตปรมัตถ์หรือเจตสิกปรมัตถ์
เราควรรู้ว่า
นิพพานไม่ใช่จิตหรือเจตสิก
แต่เป็นปรมัตถธรรมที่ 4
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่ดับสังขารธรรมทั้งปวง
เมื่อพระอรหันต์ดับ สังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ไม่เที่ยง (อนิจจัง) สังขารธรรมเป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ไม่ใช่ตัวตน (สพฺเพ home
ปัญหาถาม-ตอบ
หนังสือธรรมะ
|
"โทสะก็ดี ความรู้สึกเป็นสุขก็ดี ปัญญาก็ดี เป็นนามธรรมซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิกต่างๆซึ่งเกิดร่วมกับจิตประเภทต่างๆ " |