Buddhist Study | บทที่ 12 กิจของภวังคจิต | |||
"ขณะที่ไม่
"ภวังคจิต
"ในระหว่าง
"ภวังคจิต เป็น
"ภวังคจิตทุก
"ผู้ที่ปฏิสนธิ
"ภวังคจิต
|
ขณะที่ไม่รู้สึกตัว ขณะที่ไม่คิดนึก ขณะที่ไม่มีอกุศลจิตหรือกุศลจิต ขณะนั้นมีจิตหรือไม่? ขณะที่ไม่รู้สึกตัว ขณะที่ไม่คิดนึก ขณะนั้นก็ต้องมีจิต มิฉะนั้นก็ไม่มีชีวิต จิตที่เกิดดับนั้นเป็น ภวังคจิต ภวังค์ แปลตามพยัญชนะว่า "องค์ของภพ" ซึ่งภาษาอังกฤษแปลว่า การดำรงภพชาติ ภวังคจิตทำกิจสืบต่อดำรงภพชาติ ทำให้สภาพที่บัญญัติว่า สัตว์มีชีวิตอยู่ได้ บางคนอาจสงสัยว่าภวังคจิตเกิดบ่อยๆไหม ภวังคจิตเกิดมากมายนับไม่ถ้วนขณะที่ไม่รู้สึกตัว ไม่คิดนึก ไม่มีอกุศลจิตหรือกุศลจิต ขณะที่หลับแล้วฝัน อกุศลจิตหรือกุศลจิตเกิดแต่แม้ในขณะที่หลับแล้วไม่ฝัน ก็ยังต้องมีจิตเกิดอยู่นั่นเอง จิตขณะนั้นเป็นภวังคจิต ขณะตื่นก็มีภวังคจิตเกิดนับไม่ถ้วน ภวังคจิตเกิดคั่นระหว่างวิถีจิตวาระหนึ่งๆ ดูประการหนึ่งว่าการได้ยินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเห็นสิ้นสุดลง แต่ตามความเป็นจริงแล้วมีวิถีจิตเกิดขึ้นหลายวาระ และในระหว่างวิถีจิตวาระหนึ่งๆก็มีภวังคจิตเกิดคั่นหลายขณะ ภวังคจิตเป็นจิตประเภทเดียวกันกับปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตขณะแรกของชาติหนึ่งๆ เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น เป็นจิตขณะที่สอง และเป็นภวังคจิตดวงแรกของชาตินั้น ภวังคจิต เป็น วิบากจิต เป็นผลของกรรมเดียวกันกับการที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ในชาติหนึ่งจะมีปฏิสนธิจิตดวงเดียวเท่านั้น แต่มีภวังคจิตนับไม่ถ้วน ไม่ใช่เฉพาะภวังคจิตดวงแรกเท่านั้น แต่ภวังคจิตทั้งหมดในชาตินี้เป็นผลของกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ปฏิสนธิจิตมี 19 ประเภท
ฉะนั้น ภวังคจิตก็มี 19
ประเภท
ถ้าเกิดในทุคติภูมิ
ปฏิสนธิจิตเป็นอกุศลวิบาก
ภวังคจิตทั้งหมดก็เป็นอกุศลวิบากด้วย
ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นอเหตุกกุศลวิบาก
บุคคลนั้นจะพิการตั้งแต่เกิด
และภวังคจิตทุกดวงในชาตินั้นก็เป็นอเหตุกกุศลวิบาก
ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นสเหตุกะ
(ประกอบด้วยโสภณเหตุ)
ภวังคจิตก็เป็นสเหตุกะเช่นเดียวกัน
ภวังคจิตทุกขณะตลอดภพชาตินั้นเป็นประเภทเดียวกันกับปฏิสนธิจิตของชาตินั้น จิตทุกดวงต้องมีอารมณ์ ฉะนั้น ภวังคจิตก็ต้องมีอารมณ์ด้วย จิตเห็นมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ จิตได้ยินมีเสียงเป็นอารมณ์ แต่ภวังคจิตมีอารมณ์ที่ต่างกับอารมณ์ที่ปรากฏทางทวาร 5 และทางมโนทวาร ภวังคจิตซึ่งเป็นจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิตมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ในบทที่ 10 ได้กล่าวถึงปฏิสนธิจิตว่ามีอารมณ์เดียวกับอกุศลจิตหรือกุศลจิตซึ่งเกิดก่อนจุติจิตของชาติก่อน ถ้าอกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด อกุศลจิตจะเกิดก่อนจุติจิตและมีอนิฏฐารมณ์เป็นอารมณ์ ถ้ากุศลกรรมเป็นปัจจัยไห้ปฏิสนธิจิตเกิด กุศลจิตจะเกิดก่อนจุติจิตและมีอิฏฐารมณ์เป็นอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ชนิดใด ปฏิสนธิจิตในภพชาติต่อไปต้องมีอารมณ์เดียวกันนั้นเอง เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตดวงแรกในชาตินั้นก็เกิดสืบต่อรู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ภวังคจิตทุกดวงในชาตินั้นรู้อารมณ์เดียวกันนั้น ในวิสุทธิมัคค์ ขันธนิทเทส กล่าวถึงภวังคจิตว่า
ภวังคจิตเปรียบเหมือนกระแสนํ้าที่สิ้นสุดลงเมื่ออารมณ์ปรากฏทางทวารหนึ่งทวารใดใน 6 ทวาร เมื่อปัญจทวารวิถีจิตหรือมโนทวารวิถีจิตดับไปแล้ว กระแสภวังคจิตก็เกิดสืบต่อไปอีก เมื่ออารมณ์กระทบทวารหนึ่งทวารใดในปัญจทวาร กระแสภวังคจิตจะสิ้นสุดลง แล้ววิถีจิตก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น แต่การรู้อารมณ์จะยังไม่เกิดทันที เช่น เมื่อเสียงกระทบกับโสตปสาท จิตได้ยินจะเกิดทันทีไม่ได้ ภวังคจิตยังเกิดดับสืบต่อก่อนโสตทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นนึกถึงเสียงที่กระทบและจิตได้ยินเกิดขึ้น ภวังคจิตไม่ได้ทำกิจนึกถึงเสียงที่กระทบโสตปสาท ภวังคจิตไม่รู้เสียงนั้น ภวังคจิตกระทำกิจของตนเองคือดำรงสืบต่อภพชาติไว้และมีอารมณ์ของตนเอง คือมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต แม้ว่าภวังคจิตไม่รู้เสียงที่กระทบโสตปสาท แต่เสียงนั้นก็กระทบภวังคจิต จึงทำให้ภวังคจิตไหว ต่อจากนั้นกระแสภวังค์ก็สิ้นสุดลง แล้วโสตทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้นรู้เสียงนั้น เมื่อรูปกระทบทวารและกระทบภวังคจิต
ภวังคจิตที่รูปกระทบเป็น อตีตภวังค์
ภวังคจิตต่อจาก ชื่อต่างๆที่บัญญัติขึ้นเรียกภวังคจิตนั้นไม่ได้หมายถึงกิจต่างๆ ภวังคจิตมีเพียงกิจเดียวเท่านั้นคือ ดำรงภพชาติของสัตว์ ชื่อต่างๆนั้นเพียงชี้ให้เห็นว่าเป็นภวังคจิตสามดวงสุดท้ายก่อนที่กระแสภวังค์จะสิ้นสุดลง และวิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ใหม่ เมื่อวิถีจิตสิ้นสุดลง กระแสภวังค์ก็เกิดสืบต่อดังนั้นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตจึงไม่ขาดสายเลย เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบทวารหนึ่งทวารใดใน 5 ทวารแล้ว มโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นสืบต่อ โดยมีภวังคจิตเกิดคั่นระหว่างปัญจทวารวิถีจิตและมโนทวารวิถีจิต เมื่อมโนทวารวิถีจิตดับไปแล้ว กระแสภวังค์ก็เกิดดับสืบต่ออีก อารมณ์ที่กระทบปสาทรูป 5 เป็นรูป รูปเกิดแล้วก็ดับ แต่รูปธรรมดับไม่เร็วเท่านามธรรม รูปๆหนึ่งเป็นอารมณ์ของวิถีจิตหลายดวง เช่น เสียงซึ่งเป็นรูปที่กระทบกับโสตปสาท ก็มีโสตทวารวิถีจิตหลายดวงเกิดขึ้นรู้เสียงนั้น ก่อนวิถีจิตจะเกิด ก็มีภวังคจิตเกิดก่อน ภวังคจิต 3 ดวงสุดท้าย คือ อตีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะเกิดก่อนโสตทวารวิถีจิต เมื่อกระแสภวังคจิตสิ้นสุดลง
โสตทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรู้เสียงทางโสตทวาร
โสตทวารวิถีจิตอื่นๆที่เกิดต่อจากโสตทวาราวัชชนจิตต่างทำกิจของตนๆก่อนที่เสียงจะดับไป
รูป มีอายุเท่ากับ
จิตเกิดดับ 17 ขณะ
นับตั้งแต่อตีตภวังค์เป็นต้นไป
ถ้าวิถีจิตทางโสตทวารเกิดครบทุกวิถี
ก็จะมีจิตเกิดดับสืบต่อกัน 17
ดวง
แต่ถ้ารูปซึ่งเป็นอารมณ์เกิดแล้วกระทบอตีตภวังค์หลายขณะ
รูปนั้นก็จะดับก่อน
วิถีจิตหลังๆจึงเกิดไม่ได้
เพราะเหตุว่ารูปมีอายุเท่ากับ 17
ขณะของจิตเท่านั้น
เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นจนถึงโวฏฐัพพนจิต
รูปก็ดับไป
กุศลจิตหรืออกุศลจิตก็เกิดไม่ได้
บางวาระอดีตภวังค์เกิดขึ้นแล้วดับไป
ภวังคจลนะเกิดขึ้นแล้วดับไป
แต่ เมื่อปัญจทวารวิถีเกิดขึ้นรู้รูปซึ่งกระทบปสาท และเมื่อวิถีจิตดวงสุดท้ายดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดขึ้นอีก แต่อารมณ์นั้นสามารถรู้ได้ทางมโนทวาร ภวังคจิตสองดวงสุดท้าย คือ ภวังคจลนะ และ ภวังคุปัจเฉทะ จะเกิดก่อนมโนทวาราวัชชนจิต มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวาร สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ กุศลจิต หรือ อกุศลจิต 7 ขณะเกิดสืบต่อมโนทวาราวัชชนจิต สรุปมโนทวารวิถีจิตได้ดังนี้
ทางมโนทวารวิถีนั้น ก่อนภวังคจลนะเกิด มีภวังคจิตเกิดดับสืบต่อกันมากมาย และทางมโนทวารวิถีไม่มีอตีตภวังค์ เมื่อมโนทวารวิถีจิตดับไปหมดแล้ว กระแสภวังค์เกิดอีกจนกว่าวิถีจิตซึ่งรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร หรือทางมโนทวารจะเกิดภวังคจิตนับไม่ถ้วนเกิดตลอดเวลาในชีวิตของเรา ภวังคจิตเกิดคั่นปัญจทวารวิถีซึ่งรู้อารมณ์ทางทวาร 5 หรือมโนทวารวิถีซึ่งรู้อารมณ์ทางมโนทวาร มโนทวาร คืออะไร? มโนทวารต่างกับปัญจทวารซึ่งเป็นรูปปัญจทวาร ได้แก่ จักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท และกายปสาท มีกายปสาททั่วร่างกาย มโนทวารไม่ใช่รูปใดใน 5 รูปนี้ บางคนอาจสงสัยว่ามโนทวารเป็นนามหรือรูป เราควรจะพิจารณาว่า มโนทวารวิถีจิตดวงแรกนั้นรู้อารมณ์ได้อย่างไร มโนทวารวิถีจิตดวงแรกซึ่งนึกถึงอารมณ์ คือ มโนทวาราวัชชนจิต จิตดวงนี้ไม่นึกถึงอารมณ์ทางปัญจทวาร ฉะนั้น มโนทวาร จึงเป็น นามธรรม เป็น จิต จิตที่เกิดก่อนมโนทวาราวัชชนจิต คือ ภวังคุปัจเฉทจิต ภวังคุปัจเฉทจิตคือมโนทวาร ซึ่งมโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นนึกถึงอารมณ์สืบต่อจากภวังคุปัจเฉทะ การศึกษาปัญจทวารวิถีจิตและมโนทวารวิถีจิตซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จะทำให้เราเข้าใจสภาพธรรมว่าเป็นธาตุที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เป็นอนัตตา เช่น เราอาจรู้สึกดื่มดํ่าเมื่อได้ยินเสียงที่ไพเราะ สภาพธรรมที่เรายึดถือว่าเป็นการได้ยินที่ยาวนานนั้น ความจริงเป็นขณะสั้นนิดเดียว เกิดแล้วก็ดับไป ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร เสียงนั้นก็ได้ผ่านมโนทวารแล้ว เพราะจิตเกิดดับสืบต่อเร็วมาก เสียงเกิดแล้วก็ดับเช่นเดียวกัน ในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค วีณาสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ปัญหาถาม-ตอบ หนังสือธรรมะ พระไตรปิฎก
หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน"
|
|