Buddhist Study | บทที่ 17 ทวารและวัตถุที่เกิดของจิต | |||
"สิ่งใดที่ไม่
"เมื่อสติระลึก
"เราจะรู้แจ้ง
"พระผู้มีพระ
"เราควรระลึก
"ถ้าสติเกิดขึ้น
"จากการศึกษา
|
พระผู้มีพระภาคทรงชี้ให้เห็นอันตรายของการมัวเมาเพลิดเพลินในอารมณ์ที่ปรากฏทางทวาร 6 พระองค์ทรงสอนให้เราอบรมณ์เจริญปัญญาที่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางทวาร 6 ว่าเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรมซึ่งไม่เที่ยงและไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดที่ไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ จะเป็นสุขไม่ได้ เมื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็จะมัวเมาเพลิดเพลินในอารมณ์ต่างๆน้อยลง ในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ภิกขุสูตร แสดงจุดประสงค์ของพระธรรมว่า
เมื่อสติระลึกรู้นามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏ
เช่น การเห็น รูปารมณ์
เวทนาหรือการนึกคิด
ทางโสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร และมโนทวาร ก็โดยนัยเดียวกัน เมื่อศึกษาพระอภิธรรม เราไม่ควรลืมว่า พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้เราดับกิเลส โดยอบรมเจริญปัญญาที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่ปรากฏทางทวาร 6 ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นทางที่จะดับสังสารวัฏฏ์ เราควรระลึกเสมอว่า พระอภิธรรม ไม่ใช่ตำราที่มีแต่ทฤษฎี แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึง สภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เราเรียนเรื่องนามธรรมและรูปธรรม เรื่องจิตที่มีกิจเฉพาะของจิตนั้นๆ ในปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถี ปัญจทวารวิถีจิตและมโนทวารวิถีจิตเกิดดับรู้อารมณ์ตามวิถีต่างๆอยู่เรื่อยๆ ถ้าสติเกิดรู้ลักษณะของนามและรูปที่ปรากฏ ปัญญาก็เจริญขึ้นจนสามารถดับกิเลสได้ ปัญญาชั้นนี้คมกล้ายิ่งกว่าความรู้ทางทฤษฎีใดๆทั้งสิ้น นามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดดับนั้นเป็นสังขารธรรมเกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างๆปรุงแต่ง จากการศึกษาพระอภิธรรม เราจึงรู้เรื่องปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดนามและรูป สภาพธรรมแต่ละชนิดที่เกิดขึ้นนั้นอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น การเห็นเป็น วิบาก เป็นผลของ กรรม รูปารมณ์ เป็นปัจจัยของการเห็นโดยเป็น อารมณ์ ถ้าไม่มีรูปารมณ์ การเห็นก็เกิดไม่ได้ จักขุปสาทรูป ที่อยู่กลางตาซึ่งสามารถรับกระทบรูปารมณ์ได้นั้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของการเห็น จักขุปสาทรูป เป็น ทวาร
ของการเห็นได้ ทวาร เป็น ทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์
กรรมเป็นปัจจัยทำให้จักขุปสาทเกิดดับตลอดชีวิต
แต่จักขุปสาทก็ไม่ได้เป็นทวารตลอดเวลา
เพราะไม่ใช่มีแต่การเห็นอยู่ตลอดเวลา
จักขุปสาทเป็นทวารเมื่อจิตรู้ จักขุปสาทเป็นทางที่จิตรู้รูปารมณ์
ไม่ใช่แต่ จักขุทวาราวัชชนจิต
และ จักขุวิญญาณจิต
เท่านั้นที่รู้อารมณ์ทางจักขุทวาร
วิถีจิตอื่นๆในวาระเดียวกัน จิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์เดียวกันทางทวารใดทวารหนึ่งใน
6 ทวาร เป็น วิถีจิต
(วิถี แปลว่า ทาง) มี ภวังคจิต เกิดคั่นระหว่างวิถีจิตวาระหนึ่งๆ ภวังคจิตไม่ใช่วิถีจิต ภวังคจิตไม่ใช่วิถีจิตซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบทวาร 6 ภวังคจิตรู้อารมณ์โดยไม่ต้องอาศัยทวารเลย ดังที่ได้ทราบแล้ว (บทที่ 15) ว่าปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต ในชาติหนึ่งๆนั้นรู้อารมณ์เดียวกันกับชวนจิตสุดท้ายซึ่งเกิดก่อนจุติจิตของชาติก่อน ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต เป็น วิถีวิมุตติจิต (วิถีวิมุตติ แปลว่า พ้นจากวิถี) ฉะนั้นจิตเหล่านี้จึงต่างจากจิตที่เกิดทางปัญจทวารและมโนทวาร การจำแนกจิตโดยนัยของทวารนั้นเป็นประโยชน์
ถ้าจำแนกจิตโดยนัยของ กิจ
โดยไม่จำแนกโดยนัยของทวารแล้ว
เราอาจไม่ทราบว่ากล่าวถึงจิตดวงไหน
เช่น ปัญจทวาราวัชชนจิต จิตบางดวงทำกิจทางทวารเดียวเท่านั้น
เช่น จิตจำแนกโดยนัยของ เวทนา
ก็ได้ เช่น อุเบกขาสันตีรณจิต (กุศลวิบาก 1 อกุศลวิบาก 1) ทำกิจได้ 5 กิจ คือ
ทวารเป็นทางที่วิถีจิตรู้อารมณ์
รูปซึ่งเป็นที่เกิด
ของจิต (วัตถุรูป)
เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของจิต
โดยเป็นที่เกิดของจิต
ในภูมิที่มีทั้งนามและรูป
จิตเกิดขึ้นโดยไม่อาศัยร่างกายไม่ได้
จิตที่เกิดขึ้นมีรูปเป็นที่เกิด
เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น
จิตเห็นเกิดขึ้นนอกร่างกายได้ไหม
ขณะที่ได้ยินหรือคิดนึก
จิตเกิดนอกร่างกายได้ไหม
ย่อมเป็นไปไม่ได้
จิตเห็นเกิด ที่ไหน จิตเห็นจะเกิดขึ้นที่แขนหรือที่หูไม่ได้
จิตเห็นต้องมี ตา
เป็นที่เกิด จักขุปสาทรูป
ซึ่งเป็นรูปที่อยู่กลางตาซึ่งรับกระทบรูปารมณ์ได้นั้นเป็น
ที่เกิดของจิตเห็น ที่เกิดหรือ
วัตถุรูป ไม่ใช่ ทวาร
แม้ว่าจักขุปสาทรูปเป็นทั้งทวารและวัตถุของจักขุวิญญาณ
ทวารและวัตถุก็มีกิจต่างกัน
จักขุทวาร เป็นทางที่จักขุทวารวิถีจิตเกิด
ซึ่งรู้อารมณ์ จักขุวัตถุ
เป็นที่ตั้งที่เกิดของจักขุวิญญาณ วัตถุที่ 6 ซึ่งไม่ใช่ปสาทรูปคือ
หทยวัตถุ หทยวัตถุเป็นรูปชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่เกิดของจิตที่ไม่ใช่ เมื่อเสียงกระทบโสตปสาท ปัญจทวาราวัชชนจิต ที่เกิดขึ้นมี หทยวัตถุ เป็นที่เกิด แต่โสตวิญญาณมีโสตปสาทรูปเป็นที่เกิด จิตอื่นๆที่เกิดต่อ ในทวารวิถีนั้นมี หทยวัตถุ เป็นที่เกิด มโนทวารวิถีจิต ทั้งหมดมี หทยวัตถุ เป็นที่เกิด วิถีวิมุตติจิตซึ่งรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารนั้นก็เกิดที่รูปด้วย แม้ว่าวิถีวิมุตติจิตไม่อาศัยทวาร แต่ในภูมิที่มีทั้งนามและรูปนั้น วิถีวิมุตติจิตจะเกิดโดยไม่อาศัยหทยวัตถุไม่ได้ ชาติต่อไปเริ่มต้นขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ซึ่งไม่ใช่มีแต่นามเท่านั้น แต่มีรูปด้วย หทยวัตถุ เป็นรูปซึ่งเป็น วัตถุ ที่เกิดของ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิตทุกดวง และ จุติจิต มี หทยวัตถุ เป็นที่เกิด ปสาทรูป 5 เป็นวัตถุของปัญจวิญญาณ สำหรับกายปสาท ซึ่งเป็นวัตถุของของกายวิญญาณ 2 ดวง (กุศลวิบาก 1 และอกุศลวิบาก 1) นั้นเกิดได้ทั่วร่างกาย รูปใดของร่างกายที่กระทบโผฏฐัพพะได้ รูปนั้นก็เป็นวัตถุของกายวิญญาณ วัตถุ เป็นที่เกิดไม่เฉพาะแต่จิตเท่านั้น แต่เป็นที่เกิดของ เจตสิก ที่เกิดร่วมกับจิตด้วย ฉะนั้น เมื่อนามขันธ์ทั้ง 4 เกิด จะต้องมีรูปขันธ์ด้วย เว้นอรูปภูมิที่มีแต่นามเท่านั้น การจำแนกจิตหลายๆนัย เช่น
โดย กิจ โดย อารมณ์
โดย ทวาร โดย วัตถุ เป็นประโยชน์มาก
เพราะจะทำให้เข้าใจเรื่องจิตแจ่มแจ้งขึ้น
แต่ไม่ควรลืมว่า
ความเข้าใจขั้นนี้ยังไม่ใช่ปัญญาที่จะละคลายโลภะ
โทสะ โมหะ ให้หมดสิ้นไปได้ ท่านพระราธะนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระราธะว่า "ดูกรราธะ เราจักแสดงปริญเญยธรรม ธรรมอันบุคคลควรกำหนดรู้ ปริญญา ความกำหนดรู้ และปริญญาตาวีบุคคล บุคคลผู้กำหนดรู้ เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว" ท่านพระราธะรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรราธะ
ปริญเญยยธรรมเป็นไฉน
ดูกรราธะ
รูปแลเป็นปริญเญยยธรรม
เวทนาเป็นปริญเญยยธรรม
สัญญาเป็นปริญเญยยธรรม
สังขารเป็นปริญเญยยธรรม
วิญญาณเป็น ดูกรราธะ ปริญญาเป็นไฉน ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรากล่าวว่าปริญญา ดูกรราธะ ปริญญาตาวีบุคคลเป็นไฉน ผู้ที่เขาพึงเรียกกันว่าพระอรหันต์ คือ ท่านผู้ที่มีชื่ออย่างนี้ มีโครตอย่างนี้ ดูกรราธะ ผู้นี้เรากล่าวว่าปริญญาตาวีบุคคลฯ" บางกาลพระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงโอวาทโดยละเอียด และบางกาลก็ทรงแสดงโอวาทโดยย่อ เพื่อเตือนให้ระลึกถึงจุดประสงค์ของพระธรรม ซึ่งทุกคนจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าเข้าใจพระธรรมเพื่ออะไร ถ้ามิใช่เพื่อนำไปสู่ความดับกิเลส
home ปัญหาถาม-ตอบ หนังสือธรรมะ หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน"
|
|