Buddhist Study   บทที่ 22   ฌานจิต    

 

home

ปัญหาถาม-ตอบ

หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก


 

 

 

 

 


"ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์
ชวนจิตก็เป็นกุศลจิต
หรืออกุศลจิต"


 

 

 

 

 

 

 


"ชวนจิตส่วนใหญ่
เป็นอกุศลเพราะ
เรายึดมั่นในอารมณ์
ทุกอย่างที่รับรู้ทาง
ปัญจทวารและ
มโนทวาร"


 

 

 

 

 

 

 


"กุศลจิต อกุศลจิต
และจิตทุกดวงที่เกิด
ในชีวิตประจำวัน
ของเราเป็นจิตขั้น
กามภูมิหรือกามาวจรจิต"


 

 

 

 

 

 

 


"ฌานจิต
ไม่ใช่กามาวจรจิต
เพราะเป็นจิตอีกภูมิ
หนึ่ง ฌานจิตรู้
อารมณ์กรรมฐาน
ด้วยสมาธิที่แนบแน่น
ทางมโนทวาร"


 

 

 

 

 

 

 


"ขณะที่ฌานจิตเกิด
นั้นไม่รับรู้
กามอารมณ์
จึงระงับกิเลสที่ข้อง
อยู่กับกามอารมณ์"


 

 

 

 

 

 


"ฌานจิต คือ
รูปาวจรจิต
(รูปฌานจิต) และ
อรูปาวจรจิต
(อรูปฌานจิต)
อรูปฌานละเอียด
กว่ารูปฌานเพราะ
อารมณ์กรรมฐาน
ของอรูปฌาน
ไม่ใช่รูป"


 

 

 

 

 

 

 


"นอกจาก
กามาวจรจิต
รูปาวจรจิต และ
อรูปาวจรจิต
ยังมีอีกภูมิหนึ่ง
คือ โลกุตตรจิต
(จิตที่พ้นจากโลก)
ซึ่งมีพระนิพพาน
เป็นอารมณ์"


 

 

 

 

 

 

 


"ฌานจิตรู้อารมณ์
กรรมฐานทาง
มโนทวาร
ในฌานวิถีนั้น
วิถีจิตขณะแรกๆเป็น
กามาวจรจิตซึ่ง
รู้อารมณ์กรรมฐาน
นั้นเอง ต่อจากนั้น
ฌานจิตจึงเกิด"


 

 

 

 

 

 

 


"ฌานจิตเกิดขึ้น
เพียงขณะเดียว
เท่านั้นเมื่อดับไปแล้ว
ภวังคจิตก็เกิดสืบต่อ
ต่อจากนั้นก็เป็นวิถี
ของกามาวจรจิตซึ่ง
เกิดทางมโนทวาร
พิจารณาฌานที่เพิ่ง
เกิดและดับไปแล้ว"


 

 

 

 

 

 

 


"อัปปนาสมาธิจะ
ดำรง อยู่ตราบเท่า
ที่จิตสงบจาก
นิวรณธรรม
อย่างแท้จริง
ก่อนอื่นจะต้องระงับ
กามฉันทะ โดย
พิจารณาโทษของ
กามฉันทะและระงับ
นิวรณธรรมอื่นๆ"


 

 

 

 

 

 

 


"ฌานจิตเป็น
กุศลกรรมขั้นสูง
เมื่อฌานจิตเกิด
นิวรณธรรม คือ
กามฉันทะ
พยาปาทะ ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ
และวิจิกิจฉา
สงบระงับชั่วคราว"


 

 

 

 

 

 

 


"ฌานจิตเป็น
กุศลกรรมขั้นสูง ฉะนั้นผลคือ
กุศลวิบากจึงเป็นขั้น
สูงด้วย ฌานจิต
ไม่ทำให้เกิดวิบาก
ในชาตินั้น
ผลของฌานจิต คือ
การเกิดในภพภูมิ
ที่สูงขึ้น คือเกิดใน
รูปพรหมภูมิ"


 

 

 

 

 

 

 


"การที่จะบรรล
อรูปฌานขั้นต้นได้
นั้น จะต้องบรรลุ
ฌานขั้นสูงสุด โดยมี
กสิณใดกสิณหนึ่งใน
หมวดกสิณเป็น
กรรมฐาน (ยกเว้น
อากาสกสิณ)
และมีความชำนาญ
ยิ่งด้วย"


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
      ในชีวิตประจำวัน   จิตหลายประเภทเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบปัญจทวารและมโนทวาร    เราเห็น  ได้ยิน   รับรู้อารมณ์ทางอารมณ์อื่นๆทางปัญจทวาร   แล้วก็คิดถึงอารมณ์เหล่านี้   ชวนจิตเกิดทั้งทางปัญจทวารและมโนทวาร   ซึ่งถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ชวนจิตก็เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต   ชวนจิตส่วนใหญ่เป็นอกุศล   เพราะเรายึดมั่นในอารมณ์ทุกอย่างที่รับรู้ทางปัญจทวารและมโนทวาร   เรายึดในรูปารมณ์และการเห็น
เสียงและการได้ยินและทุกอารมณ์ที่รับรู้    เรารักชีวิต
ปราถนาที่จะมีชีวิตต่อไปและรับรู้อารมณ์ต่างๆ   เราอาจไม่ได้สังเกตุว่ามีการยึดติดหลังจากที่เห็นหรือได้ยินแล้ว   โดยเฉพาะเมื่อไม่รู้สึกยินดีสักเท่าไหร่ในสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน   แต่ก็อาจจะมีโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา   ซึ่งย่อมจะมีการยึดติดเกิดขึ้นหลายๆขณะ   แล้วก็ผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตุทั้งในปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถี    เมื่อรู้อารมณ์ทางทวารใดทวารหนึ่งในปัญจทวาร   แล้วก็รู้อารมณ์นั้นต่อทางมโนทวารอีกหลายวาระ   แล้วยังมีมโนทวารวิถีจิตที่คิดถึงสมมุติบัญญัติ   เช่น  คน  สัตว์   วัตถุสิ่งของต่างๆ    การยึดติดในสมมุติบัญญัติเกิดขึ้นบ่อยมาก   ฉะนั้น   ส่วนใหญ่เราจึงคิดถึงสมมุติบัญญัติด้วยอกุศลจิต   ขณะที่ไม่ได้เป็นไปในทาน   ศีล  หรือภาวนา   ก็คิดนึกด้วยอกุศลจิต   แม้ในขณะที่กระทำกุศล   อกุศลจิตก็อาจเกิดขึ้นหลังจากที่กุศลจิตดับไปแล้วไม่นาน   เพราะมีการเห็นบ้าง   การได้ยินบ้างเกิดขึ้น   เมื่อเห็นแล้วหรือได้ยินแล้ว   ความชอบใจหรือไม่ชอบใจอาจเกิดขึ้นได้   กุศลจิต  อกุศลจิต   และจิตทุกดวงที่เกิดในชีวิตประจำวันของเรา   เป็นจิตขั้นกามภูมิหรือ กามาวจรจิต

จิตที่รู้กามอารมณ์นั้นมักจะเป็นไปกับกิเลส   ฉะนั้น   แม้ก่อนสมัยพระผู้มีพระภาค   ผู้มีปัญญาที่เห็นโทษของกามอารมณ์จึงเจริญ ฌาน เพื่อระงับกามอารมณ์ชั่วคราว  ฌานจิต ไม่ใช่กามาวจรจิตเพราะเป็นจิตอีกภูมิหนึ่ง   ฌานจิตรู้อารมณ์กรรมฐานด้วย สมาธิที่แนบแน่น ทางมโนทวาร   ขณะที่ฌานจิตเกิดนั้นไม่รับรู้กามอารมณ์   จึงระงับกิเลสที่ข้องอยู่กับกามอารมณ์   ฌานจิต  คือ รูปาวจรจิต (รูปฌานจิต)  และ
อรูปาวจรจิต (อรูปฌานจิต)   อรูปฌานละเอียดกว่ารูปฌาน   เพราะอารมณ์กรรมฐานของอรูปฌานไม่ใช่รูป   ซึ่งจะได้กล่าวถึงความแตกต่างของรูปฌานและอรูปฌานในโอกาสต่อไป

นอกจาก กามาวจรจิต  รูปาวจรจิต   และ อรูปาวจรจิต ยังมีอีกภูมิหนึ่งคือ โลกุตตรจิต (จิตที่พ้นจากโลก)  ซึ่งมี พระนิพพาน เป็นอารมณ์   ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมมีโลกุตตรจิต   โดยมีนิพพานเป็นอารมณ์

สำหรับฌานจิตนั้น  ฌานจิต ไม่มีสี  เสียง  กลิ่น  รส   หรือโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์   ฌานจิตรู้อารมณ์กรรมฐานทางมโนทวาร    ในฌานวิถีนั้น   วิถีจิตขณะแรกๆเป็นกามาวจรจิตซึ่งรู้อารมณ์กรรมฐานนั้นเอง   ต่อจากนั้นฌานจิตจึงเกิด   ฌานวิถีจิตเกิดตามลำดับดังนี้   คือ

กามาวจรจิต

มโนทวาราวัชชนจิต
บริกัมม์  (เตรียมปรุงให้อัปปนาสมาธิเกิด)
อุปจาร  (ใกล้ต่อการเป็นอัปปนา)
อนุโลม  (คล้อยต่ออัปปนาสมาธิ)
โครตภู  (จิตที่ข้ามจากกามภูมิ)

ฌานจิต

อัปปนา  (สมาธิที่แนบแน่นในอารมณ์)

สำหรับบางบุคคล   บริกัมม์อาจไม่เกิด  ฉะนั้น   หลังจากที่มโนทวาราวัชชนจิตดับแล้ว   จะมี กามาวจรจิต เกิดก่อนฌานจิตเพียง 3 ดวง เท่านั้น  แทนที่จะมี 4 ดวง   โคตรภู (จิตที่ข้ามจากกามภูมิ)   เป็นจิตดวงสุดท้ายในวิถีนั้นซึ่งเป็นกามาวจรจิต

ในวิสุทธิมัคค์   ปฐวีกสิณนิทเทศ   กล่าวถึงฌานวิถีจิตที่เกิดเป็นครั้งแรก    ข้อความในวิสุทธิมัคค์   ปฐวีกสิณนิทเทส  กล่าวว่า   ฌานจิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น   เมื่อดับไปแล้วภวังคจิตก็เกิดสืบต่อ   ต่อจากนั้นก็เป็นวิถีของกามาวจรจิตซึ่งเกิดทางมโนทวาร   พิจารณาฌานที่เพิ่งเกิดและดับไปแล้ว   ข้อความในวิสุทธิมัคค์กล่าวว่า   อัปปนาสมาธิจะ  "ดำรง"   อยู่ตราบเท่าที่จิตสงบจากนิวรณธรรมอย่างแท้จริง   ก่อนอื่นจะต้องระงับกามฉันทะโดยพิจารณาโทษของกามฉันทะ   และระงับ  "นิวรณธรรม" อื่นๆ

ฌานจิตเป็นกุศลกรรมขั้นสูง   เมื่อฌานจิตเกิด  นิวรณธรรม   คือ  กามฉันทะ  พยาปาทะ   ถีนมิทธะ  อุทธัจจะกุกกุจจะ   และวิจิกิจฉา   สงบระงับชั่วคราว   ขณะนั้นจึงเป็นความสงบที่แท้จริง   อย่างน้อยชั่วในขณะนั้น

ในบทที่แล้ว  เราได้ศึกษาว่า   ผู้ที่ต้องการเจริญสมถะเพื่อบรรลุฌานจิต   ต้องเจริญองค์ฌาน 5   ซึ่งระงับนิวรณธรรมดังนี้คือ   วิตก (สภาพธรรมที่จรดหรือตรึกในอารมณ์)   วิจาร (สภาพธรรมที่ประคองอารมณ์)   ปีติ (สภาพธรรมที่ปลาบปลื้ม)   สุข (ความรู้สึกโสมนัส)   สมาธิ (สภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์)

ฌานจิตเจริญขึ้นเป็นลำดับขั้น   และฌานที่สูงขึ้นแต่ละขั้นก็ละเอียดขึ้นๆ   รูปฌานจิตมี 5 ขั้น   ปฐมฌานจิตนั้นจะต้องมีองค์ฌานครบทั้ง 5   แต่ในฌานขั้นสูงขึ้นไปก็จะลดองค์ฌานไปตามลำดับ   เมื่อบรรลุทุติยฌาน   ก็ละวิตก   ทุติยฌานจิตแนบแน่นในอารมณ์กรรมฐานได้โดยไม่ต้องอาศัย วิตก (ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่นำจิตสู่อารมณ์และทำกิจจรดในอารมณ์นั้น) ส่วนองค์ฌานอีก 4 องค์   ยังเกิดกับทุติยฌานจิต

เมื่อบรรลุตติยฌานจิต  ก็ละ วิจารเจตสิก   ฌานขั้นนี้ไม่จำเป็นต้องมีวิตกและวิจารที่จะทำให้จิตแนบแน่นในอารมณ์กรรมฐาน   ฉะนั้นจึงมีองค์ฌานที่เหลือเพียง 3 องค์  คือ  ปีติ  สุข และ เอกัคคตา (สมาธิ)   เมื่อบรรลุจตุตยฌานก็ละปีติ   มีแต่โสมนัสเวทนา   แต่ไม่มีปีติ   เมื่อละปีติได้แล้ว   ฌานจิตขั้นนี้จึงสงบขึ้น   ประณีตขึ้น   เมื่อบรรลุปัญจมฌานก็ละ สุขเวทนา   มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วยแทนสุขเวทนา   ผู้บรรลุฌานขั้นนี้ไม่ยินดีในโสมนัสเวทนา   แต่องค์ฌานซึ่งเป็น เอกัคคตา ยังคงมีอยู่

ขณะที่บรรลุฌานขั้นที่สอง   บางท่านละได้ทั้งวิตกและวิจาร   ฉะนั้น  ในฌานจิตขั้นที่สาม   จึงละปีติได้   และในฌานจิตขั้นที่ 4   จึงละสุขได้   ฉะนั้น   ท่านเหล่านั้นจึงมี ฌานจิต 4 ขั้นเท่านั้น  แทนที่จะมี 5 ขั้น   ด้วยเหตุนี้เองจึงกล่าวได้ว่า
รูปฌานมี 4 ขั้น  หรือ 5 ขั้น (จตุตถนัย และ ปัญจกนัย) ในพระสูตรที่กล่าวถึงรูปฌาน 4 ขั้นนั้น  กล่าวโดยจตุตถนัย

รูปฌานทั้งหมดมีได้ถึง 5 ขั้น   ฉะนั้นจึงมี รูปาวจรกุศลจิต 5 (รูปฌานกุศลจิต)   ฌานจิตเป็นกุศลกรรมขั้นสูง   ฉะนั้น   ผลคือกุศลวิบากจึงเป็นขั้นสูงด้วย   ฌานจิตไม่ทำให้เกิดวิบากในชาตินั้น   ผลของฌานจิต   คือการเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น   คือ  เกิดในรูปพรหมภูมิ   ถ้ารูปาวจรกุศลจิตจะให้ผลในชาติหน้า   รูปาวจรกุศลจิตจะเกิดก่อนจุติจิต   ปฏิสนธิจิตของชาติหน้าจึงเป็นรูปาวจรวิบากจิต   ซึ่งเกิดในรูปพรหมภูมิที่ควรแก่ฌานนั้นๆ   รูปาวจรวิบากจิตรู้อารมณ์กรรมฐานเดียวกับ
รูปาวจรกุศลจิตที่เกิดก่อนจุติจิตของชาติก่อน   รูปาวรกุศลจิต 5 ดวงเป็นปัจจัยให้เกิด รูปาวจรวิบากจิต 5 ดวง

รูปาวจรวิบากจิตทำกิจ ปฏิสนธิ   ภวังค์ และ จุติ เท่านั้น

มี รูปาวจรกิริยาจิต 5 ดวง   ซึ่งเป็นจิตของพระอรหันต์ผู้บรรลุรูปฌาน   พระอรหันต์ไม่มีกุศลจิต   แต่มีกิริยาจิตแทน  ฉะนั้น  รูปาวจรจิตจึงมีทั้งหมด 15 ดวง  คือ

รูปาวจรกุศลจิต    5 ดวง
รูปาวจรวิบากจิต   5 ดวง
รูปาวจรกิริยาจิต   5 ดวง

ผู้ที่บรรลุฌานขั้นสูงสุด   และเห็นโทษของรูปฌานที่ยังมีรูปเป็นอารมณ์   อาจปราถนาที่จะเจริญ อรูปฌาน   คือฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์    อรูปฌานมี 4 ขั้น    อรูปฌานขั้นที่หนึ่งคือ  อากาสานัญจายตนฌาน   การที่จะบรรลุอรูปฌานขั้นต้นได้นั้น   จะต้องบรรลุรูปฌานขั้นสูงสุดโดยมีกสิณใดกสิณหนึ่งในหมวดกสิณเป็นกรรมฐาน (กสิณเป็นอารมณ์กรรมฐานของรูปฌาน   เช่น  วัณณะกสิณ  หรือ   ปถวีกสิณ)  ยกเว้นอากาศกสิณ   และมีความชำนาญยิ่งด้วย
ในวิสุทธิมัคค์  อารุปปนิทเทส   มีข้อความว่า

พระโยคีนั้นเห็นโทษอย่างนี้ในจตุตฌาน (รูปฌานที่ 4  โดยจตุตถนัย)   นั้นแล้ว   จึงคลายความใคร่ใฝ่ใจอากาสานัญจายตนฌาน   โดยเป็นสภาพธรรมที่สงบ   ย่อมแผ่กสิณมีจักรวาลเป็นที่สุดหรือเท่าที่ตนต้องการ   ใฝ่ใจโอกาสอันกสิณรูปนั้นถูกต้องว่า   อากาโส  (ว่างเปล่า)  หรือว่า   อนนฺโต  อากาโส (ว่างเปล่าไม่มีที่สุด)   ดังนี้ย่อมเพิกกสิณได้

สำหรับอากาสานัญจายตนะ   วิสุทธิมัคค์  อารุปปนิทเทส   อธิบายการเพิกกสิณ  ว่า

แม้กสิณอันพระโยคีเพิกอยู่   ก็มิใช่จะผลุดขึ้นและมิใช่จะหมุนเคว้ง   เป็นแต่อาศัยการไม่ใฝ่ใจว่าอากาศ   อากาศเท่านั้นย่อมชื่อว่า   เพิก (กสิณเก่า) ขึ้นแล้ว   เหตุสักว่าอากาศเพิกกสิณย่อมปรากฏฯ

ด้วยวิธีนี้จึง เพิกกสิณ ได้   และบรรลุอรูปฌานขั้นที่หนึ่งคือ อากาสานัญจายตนะ   อรูปฌานขั้นที่สองคือ  วิญญาณัญจายตนะ   อรูปฌานขั้นนี้มีจิตคือวิญญาณัญจายตนจิตนั่นเองเป็นอารมณ์   ผู้ที่ปราถนาจะบรรลุอรูปฌานขั้นนี้จะต้องมีความชำนาญแคล่วคล่องในอากาสานัญจายตนะ   เห็นโทษของอากาสานัญจายตนฌานจิตแล้ว   ละความยินดีในอากาสานัญจายตนฌาน
ในวิสุทธิมัคค์  อารุปปนิทเทส 216   มีข้อความว่า

... จึงคลายความนิยมในอากาสานัญจายตนะนั้น ใส่ใจวิญญาณัญจายตนะโดยเป็นธรรมที่ละเอียดว่า   พึงรำพึง  พึงใส่ใจ   พึงพิจารณาบ่อยๆซึ่งวิญญาณอันแผ่เป็นไปทั่วอากาศนั้นว่า
วิญญาณํ  วิญญาณํ   พึงทำวิญญาณที่แผ่เป็นไปทั่วอากาศนั้นให้เป็นคุณชาติ ...

อรูปฌานขั้นที่สามคือ  อากิญจัญญายตนะ    ในวิสุทธิมัคค์ อารุปปนิทเทส  มีข้อความว่า   ผู้ที่ปราถนาที่จะบรรลุอรูปฌานขั้นนี้จะต้องใส่ใจใน ความไม่มีอะไรของวิญญาณ ที่แผ่ไปทั่วอากาศที่ไม่มีที่สิ้นสุด   ซึ่งเป็นอารมณ์ของอรูปฌานที่สอง (วิญญาณัญจายตนะ)
ในวิสุทธิมัคค์  อารุปปนิทเทส   มีข้อความว่า

... คือไม่ใฝ่ใจวิญญาณนั้น   พึงนึกใฝ่ใจ   พิจารณาทำให้ความตรึกและวิตกคร่ามาบ่อยๆว่า ไม่มีๆ หรือว่า  ว่างๆ หรือว่า   เปล่าๆฯ

ข้อความในวิสุทธิมัคค์   อารุปปนิทเทส   มีข้อความต่อไปว่า

... โดยที่แท้เขาย่อมเห็นว่า   เฉพาะความไม่มีว่า ที่นี้ว่างเปล่าเงียบสงัดแล้วฉะนั้นฯ

อรูปฌานที่สี่คือ  เนวสัญญานาสัญญายตนะ (จะว่าสัญญาก็ไม่ใช่   ไม่ใช่สัญญาก็ไม่ใช่)   เนวสัญญาสัญญายตนฌานมีอากิญจัญญายตนฌานเป็นอารมณ์
ในวิสุทธิมัคค์  อารุปปนิทเทส   มีข้อความว่า

ส่วนอรรถวิเคราะห์ในสมาบัตินี้ (พึงทราบว่า) ฌานนี้พร้อมทั้งสัมปยุตธรรม   ชื่อว่ามีสัญญาก็หามิได้   แต่จะชื่อว่าไม่มีสัญญาก็หามิได้   เพราะไม่มีสัญญาหยาบ   แต่ว่ามีสัญญาละเอียด เหตุนั้นฌานนี้ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ข้อความต่อไปนี้ว่า

อีกนัยหนึ่ง  สัญญานี้ใด   ในสมาบัตินี้   สัญญานั้นไม่ชื่อว่าเป็นสัญญา   เพราะไม่สามารถจะทำกิจของสัญญาเต็มที่   และจะมีชื่อว่าไม่มีสัญญาเลยก็ไม่ได้   เพราะสัญญาก็ยังมีอยู่   โดยที่ยังมีสัญญาอย่างละเอียดที่เหลือ   เหตุนั้นยังชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ

และยังอธิบายต่อไปว่า   เวทนาที่เกิดกับฌานจิตขั้นนี้จะเป็นเวทนาก็ไม่ใช่   จะไม่ใช่เวทนาก็ไม่ใช่ (เพราะเหตุว่าเป็นเวทนาที่ละเอียดมากเหมือนส่วนที่ยังจางไปไม่หมด)   จิต   ผัสสเจตสิกและเจตสิกอื่นที่เกิดพร้อมกับฌานจิตก็มีนัยเดียวกัน

เมื่ออรูปฌานมี 4 ขั้น  จึงมี อรูปาวจรกุศลจิต 4 ประเภท   ซึ่งเป็นปัจจัยให้วิบากปฏิสนธิใน อรูปพรหมภูมิ   อรูปาวจรกุศลจิตเป็นปัจจัยให้เกิด อรูปาวจรวิบากจิต 4 ประเภท   ซึ่งทำกิจ ปฏิสนธิ  ภวังค์   และจุติ ได้เท่านั้น

มี อรูปาวจรกิริยาจิต 4 ประเภท   ซึ่งเป็นจิตของพระอรหันต์ที่บรรลุอรูปฌาน   ฉะนั้น  รวมทั้งหมดจึงมี
อรูปาวจรจิต 12 ดวง  คือ

อรูปาวจรกุศลจิต     4 ดวง
อรูปาวจรวิบากจิต    4 ดวง
อรูปาวจรกิริยาจิต    4 ดวง

ผู้ที่เจริญฌานสามารถเจริญ อภิญญา (บางแห่งแปลว่า  ปาฏิหาริย์) ได้   ซึ่งจะต้องบรรลุรูปฌานขั้นสูงสุด (รูปฌานที่ 4  หรือที่ 5   โดยจตุตถนัยหรือโดยปัญจกนัย)   โดยมีกสิณเป็นกรรมฐาน   และจะต้องฝึกจิตโดยอาการ 14   เช่น  เข้าฌานขั้นต่างๆ โดยมีกสิณต่างๆเป็นกรรมฐานโดยอนุโลมและปฏิโลม   ในการเจริญอภิญญาหรืออิทธิปาฏิหาริย์นั้น   สมาธิจะต้องแนบแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น   อภิญญา มีดังนี้  คือ

  1. อิทธิปาฏิหาริย์  เช่น   ผ่านทะลุกำแพง  เดินบนนํ้า   เหาะเหินไปในอากาศ
  2. ทิพยโสต  ได้ยินเสียงเป็นทิพย์   เสียงมนุษย์ทั้งไกลและใกล้
  3. เจโตปริยญาณ   รู้วาระจิตของผู้อื่น
  4. ทิพยจักขุ   เห็นจุติและปฏิสนธิของสัตว์
  5. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ   ระลึกชาติ

นี่เป็นโลกียอภิญญา 5   แต่มีอภิญญาที่ 6  คือ  โลกุตตรจิต
ซึ่งปหาน กิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉท เมื่อบรรลุอรหันต์  อภิญญาที่ 6   เป็นอภิญญาที่ยอดยิ่งซึ่งจะบรรลุได้ด้วยการอบรมเจริญวิปัสสนาปัญญา

บางแห่งก็กล่าวถึง อภิญญา 3   คือ

  1. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
  2. ทิพยจักขุ
  3. อาสวักขยญาณ

ผู้ที่อบรมเจริญเหตุปัจจัยที่ถูกต้องสามารถบรรลุอภิญญา    ในอังคุตตรนิกาย  ติกนิบาต   สังคารวสูตร   มีข้อความที่กล่าวถึงอภิญญาขั้นสูงสุด    พระผู้มีพระภาคตรัสถาม
สังคารวพราหมณ์ถึงการสนทนาในราชบริษัทในราชสำนัก   สังคารวพราหมณ์ทูลตอบว่า   ท่านเหล่านี้สนทนากันเรื่องความจริงที่ว่า   ในอดีตมีภิกษุเป็นจำนวนน้อย   แต่ผู้ที่บรรลุอิทธิปาฏิหาริย์มีเป็นจำนวนมาก   แต่บัดนี้กลับตรงกันข้าม

พระผู้มีพระภาคตรัสกะสังคารวพราหมณ์ว่า

"ดูกรพราหมณ์  ปาฏิหาริย์ 3 อย่างนี้  3 อย่างเป็นไฉน

คือ  อิทธิปาฏิหาริย์   ฤทธิเป็นอัศจรรย์ 1
อาเทสนาปาฏิหาริย์ดักใจเป็นอัศจรรย์ 1  อนุสาสนีปาฏิหาริย์   คำสอนเป็นอัศจรรย์ 1

ดูกรพราหมณ์   ก็อิทธิปาฏิหาริย์เป็นไฉน   ดูกรพราหมณ์   ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้   ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอันมาก   คือคนเดียวเป็นหลายคนได้   หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้   ทำให้ปรากฏก็ได้   ทำให้หายไปก็ได้   ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้   ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในนํ้าก็ได้   เดินบนนํ้าไม่แตกเหมือนเดินบนดินก็ได้   เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้   ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้    ดูกรพราหมณ์   นี้เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์

ดูกรพราหมณ์   ก็อาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นไฉน   ดูกรพราหมร์   ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้   พูดดักใจได้โดยนิมิตว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้   ใจของท่านเป็นแม้ด้วยประการฉะนี้ ...

ดูกรพราหมณ์   ก็อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นไฉน   ดูกรพราหมณ์   ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้พรํ่าสอนอยู่อย่างนี้ว่า   จงตรึกอย่างนี้   อย่าได้ตรึกอย่างนี้   จงมนสิการอย่างนี้   อย่าได้มนสิการอย่างนี้   จงละสิ่งนี้   จงเข้าถึงสิ่งนี้อยู่    ดูกรพราหมณ์   นี้เรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์    ดูกรพราหมณ์  ปาฏิหาริย์ 3 อย่างนี้   ท่านชอบปาฏิหาริย์อย่างไหน   ซึ่งงามกว่าและประณีตกว่า"

"ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ   บรรดาปาฏิหาริย์ 3 อย่างนั้น   ปาฏิหาริย์ที่ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ฯลฯ   ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
ดังนี้นั้น ... ย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนกับรูปลวง   ปาฏิหาริย์ที่ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้พูดดักใจได้ยินโดยนิมิตว่า   ... ย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนกับรูปลวง   บรรดาปาฏิหาริย์ทั้ง 3 อย่างนี้   คำสอนเป็นอัศจรรย์ควรแก่ข้าพระองค์   ทั้งดีกว่าและประณีตกว่า"

สังคารวพราหมณ์ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า   พระองค์ทรงบรรลุอภิญญา 3 หรือไม่   พระผู้มีพระภาคตรัสว่าพระองค์ทรงมีอภิญญา 3
สังคารวพราหมณ์ทูลถามต่อไปว่า   พระภิกษุรูปอื่นมีอภิญญา 3 หรือไม่   พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

"ดูกรพราหมณ์   ไม่ใช่มีร้อยเดียว   ไม่ใช่สองร้อย   ไม่ใช่สามร้อย   ไม่ใช่สี่ร้อย   ไม่ใช่ห้าร้อย ที่แท้ภิกษุผู้ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ 3 อย่างนี้  มีอยู่มากมายทีเดียว"

สังคารวพราหมณ์ประกาศความเลื่อมใสในพระพุทธ   พระธรรม  พระสงฆ์   และทูลขอเป็นอุบาสก   ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต

ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังทรงมีพระชนมายุนั้น   พระภิกษุเป็นจำนวนมากได้อบรมเจริญวิชชาที่ยอดเยี่ยมที่สุด   วิชชาในการแสดงพระธรรมเป็นวิชชาที่ยอดเยี่ยมที่สุด   เพราะสามารถนำไปสู่การดับกิเลสได้หมดสิ้น   เป็นสมุจเฉท   ซึ่งเป็นความสิ้นสุดแห่งทุกข์

ผู้ที่สะสมมาที่จะเจริญฌานนั้น   ย่อมได้คุณประโยชน์หลายประการ   เพราะฌานเป็นกุศลกรรมขั้นสูง   คุณประการหนึ่ง  คือ   การเกิดในสุคติภูมิ   แม้ว่าบรรลุเพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น   แต่การเกิดในสุคติก็ยังเป็นทุกข์   เพราะหลังจากสุคติภูมิแล้วก็เกิดในทุคติภูมิได้   ด้วยเหตุนี้   การไม่เกิดเลยนั้น   ดีกว่าการเกิดในภูมิใดๆซึ่งจะรู้จริงๆได้ก็ต่อเมื่ออบรมเจริญปัญญาที่ดับกิเลสเท่านั้น

ในพระธรรมวินัยแสดงว่า   ฌานเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ (มัชฌิมนิกาย  มูลปัณณาสก์   สัลเลขสูตร)   ผู้ที่ชำนาญคล่องแคล่วในฌาน   มีฌานจิตเกิดสืบต่อกันได้มากมายเพราะมีเหตุปัจจัยได้สะสมมาแล้ว   แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขไม่ใช่ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส

ในมัชฌิมนิกาย  มูลปัณณาสก์   สัลเลขสูตร   พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระมหาจุนทะถึงพระภิกษุที่บรรลุอรูปฌานว่า

ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า   "เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส"   ดูกรจุนทะ   แต่ธรรมคือจตุตถฌานนี้   เราไม่กล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องขัดเกลาในวินัยของพระอริยะ   เรากล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้   ในวินัยของพระอริยะฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสถึงพระภิกษุที่บรรลุอรูปฌานว่า

ภิกษุนั้นพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า   "เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส   ดูกรจุนทะ  แต่ธรรมเหล่านี้   เราไม่ควรกล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องขัดเกลาในวินัยของพระอริยะ   เรากล่าวว่าเป็นธรรมเตรื่องอยู่สงบระงับในวินัยของพระอริยะฯ

ผู้ที่มีความชำนาญแคล่วคล่องในฌานและอบรมเจริญวิปัสสนา   สามารถประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรมพร้อมกับฌาน   โดยมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ขององค์ฌาน   แทนอารมณ์
สมถกรรมฐาน   โลกุตตรจิตเกิดร่วมกับองค์ฌานขั้นต่างๆตามการสะสม    ในมัคควิถีซึ่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น   ผลจิตเกิดต่อจากมัคคจิตทันที   เมื่อผลจิตดับแล้ว   มัคควิถีจิตก็สิ้นสุดลง   มัคคจิตนั้นจะไม่เกิดอีกเลย   แต่ผลจิตอาจจะเกิดอีกได้หลายครั้งในชาตินั้น   และมีนิพพานเป็นอารมณ์ขององค์ฌานที่เกิดกับผลจิตนั้น

ผู้ที่บรรลุฌานที่สี่คือ   เนวสัญญานาสัญญายตนะ   และเป็นพระอนาคามีบุคคลหรือพระอรหันตบุคคล   สามารถเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติซึ่งดับจิตและเจตสิกได้ชั่วคราว   ผู้ที่เข้า นิโรธสมาบัติ ต่างกับร่างที่สิ้นชีวิตแล้ว
ในมัชฌิมนิกาย  มูลปัณณาสก์   มหาเวทัลลสูตร  มีข้อความว่า   ท่านพระมหาโกฏฐิกะถามปัญหาท่านพระสารีบุตรหลายข้อ   ท่านถามเรื่องความต่างกันของร่างที่สิ้นชีวิตแล้วและผู้เข้านิโรธสมาบัติ   ท่านพระมหาโกฏฐิกะถามว่า

"ดูกรผู้มีอายุ   ในเมื่อธรรมเท่าไรละกายนี้ไป   กายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง   นอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากความรู้สึก"

"ดูกรผู้มีอายุ  ในเมื่อธรรม 3 ประการคือ  อายุ  ไออุ่น   และวิญญาณ  ละกายนี้ไป   กายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง  นอนนิ่ง   เหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา"

"สัตว์ผู้ตายทำกาละไป   กับภิกษุผู้เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธมีความแปลกกันอย่างไรฯ"

"สัตว์ผู้ตายทำกาละไป   มีกายสังขาร  วจีสังขาร และจิตสังขารดับระงับไป   มีอายุหมดสิ้นไป   มีไออุ่นสงบ   มีอินทรีย์แตกทำลาย   ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ   มีกายสังขาร  วจีสังขาร และจิตสังขารดับระงับไป   แต่มีอายุยังไม่หมดสิ้น   มีไออุ่นยังไม่สงบ   มีอินทรีย์ผ่องใส   สัตว์ผู้ตายทำกาละไปกับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธมีความแปลกกันฉะนี้"

เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติ   จิตขณะแรกที่เกิดเป็น ผลจิต
(โลกุตตรวิบากจิต)   มีพระนิพพานเป็นอารมณ์   ถ้าเป็นพระอนาคามีบุคคลก็เป็นอนาคามิผลจิต   ถ้าเป็นพระอรหันต์บุคคลก็เป็นอรหัตตผลจิต
ในวิสุทธิมัคค์  ปัญญาภาวนา   สังสนิทเทส  แสดงว่า   จิตของบุคคลเหล่านี้คล้อยไปในพระนิพพาน   ข้อความมีว่า

คำว่า จิตของท่านผู้ออกแล้วน้อมไปสู่อะไร   ความว่าน้อมไปสู่นิพพานฯ   สมดังท่านกล่าวไว้ว่า   ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ   จิตของพระภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ   น้อมไปในวิเวก  โอนไปในวิเวก   เงื้อมไปในวิเวก

ในมัชฌิมนิกาย  มูลปัณณาสก์   มหายมกวรรค   จูฬโคสิงคสาลสูตร   มีข้อความว่า   พระผู้มีพระภาคเสด็จไปหาท่านพระอนุรุทธ   ท่านพระนันทิยะ   และท่านพระกิมิละ    ขณะที่ท่านเหล่านั้นพำนักอยู่ที่ป่าโคสิงคสาลวัน   พระผู้มีพระภาคตรัสถามถึงความเป็นอยู่ของท่านเหล่านั้น   ท่านเหล่านั้นบรรลุรูปฌานและอรูปฌาน   และสามารถเข้าฌานได้ตามความปราถนา   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

"ดีละ  ดีละ  อนุรุทธ   ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ   อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์   ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว   เพื่อความก้าวล่วง   เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้   อย่างอื่นมีอยู่หรือฯ"

"เพราะเหตุอะไรเล่า   จะไม่พึงมี  พระพุทธเจ้าข้า   พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า   เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง   พวกเราบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่   เพราะเห็นแม้ด้วยปัญญา   อาสวะของท่านผู้นั้นย่อมหมดสิ้นไป   อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ   อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์   ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น   เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ได้บรรลุแล้ว   พระพุทธเจ้าข้า   อนึ่ง   พวกข้าพระองค์ยังไม่พิจารณาเห็นธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น   ที่ยิ่งกว่าหรือประณีตกว่าธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้ฯ"

"ดีละ  ดีละ  อนุรุทธ   ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น   ที่ยิ่งกว่าหรือประณีตกว่าธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้หามีไม่ฯ"

 

ดูสารบัญ     

home   ปัญหาถาม-ตอบ    หนังสือธรรมะ   
พระไตรปิฎก

หมายเหตุ: คัดลอกจากหนังสือ
"พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน"
โดย  Nina Van Gorkom
แปลโดย  ดวงเดือน  บารมีธรรม
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

Click Here!

 


ดูสารบัญ