Buddhist Study   บทที่ 3    ลักษณะประการต่างๆของจิต    

home

ปัญหาถาม-ตอบ

หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก


 


"ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาจิตได้ "


 

 

 

 

 

 


"อุปนิสัยที่ดีและไม่ดีนั้นสะสมสืบต่อมาในจิตทุกดวง"


 

 

 

 

 

 


"ทุกครั้งที่ประสบอารมณ์ซึ่งไม่เป็นที่น่ายินดีพอใจทางทวารใดทวารหนึ่งใน 5 ทวาร  
นั่นเป็นอกุศลวิบาก"


 

 

 

 

 

 


"เพราะอกุศลกรรมและกุศลกรรมได้สะสมไว้แล้ว   เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว   ผลก็เกิดขึ้นเป็น วิบาก"


 

 

 

 

 

 


"สัตว์ดิรัจฉานก็มีจิต   และอาจทำชั่วหรือทำดีก็ได้    ฉะนั้น   สัตว์ดิรัจฉานก็สะสมกรรมต่างๆ   ซึ่งทำให้เกิดผลต่างๆด้วย"


 

 

 

 

 

 

 


"เมื่อเข้าใจสภาพธรรมแล้วก็จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนซึ่งได้รับสิ่งที่น่ายินดีพอใจหรือได้รับทุกข์   แต่เป็นเพียง วิบาก"


 
       ระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสภาพธรรมต่างๆที่มีจริง   เราสามารถพิสูจน์พระธรรมที่ทรงแสดงด้วยตัวของเราเอง   เราไม่รู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง   กล่าวคือ  นามธรรมและรูปธรรม   ซึ่งปรากฏทางตา  ทางหู   ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย   และทางใจ     ดูเหมือนว่าเราสนใจในสิ่งที่แล้วมาหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเป็นส่วนใหญ่   แต่เราสามารถจะรู้สภาพที่แท้จริงของชีวิตได้ เมื่อเรารู้สภาพธรรมในขณะนี้มากขึ้น   และ   เมื่อสติระลึกรู้สภาพธรรมในขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ กำลังปรากฏ

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง    เราอาจจะสงสัยว่าจิตมีจริงหรือ   เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าจิตมีจริง   เป็นไปได้ไหมว่ามีแต่รูปธรรมเท่านั้น   ส่วนนามธรรมนั้นไม่มี    เรารู้ว่ามีหลายอย่างในชีวิตของเรา   เช่น ที่อยู่อาศัย  อาหาร เสื้อผ้า   เครื่องมือเครื่องใช้ประจำวัน    สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง   แต่เกิดขึ้นโดย จิต    จิตเป็นนามธรรม  จิตเป็น สภาพรู้ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง   จิตต่างจากรูปธรรมซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร    เราฟังดนตรีซึ่งเรียบเรียงโดยนักดนตรี   ซึ่งก็เป็นจิตนั่นเองที่คิดนึกเรียบเรียงขึ้น   และก็จิตนั่นเองที่ทำให้มือของนักดนตรีเคลื่อนไหวในขณะเขียนโน้ตเพลง   ถ้าไม่มีจิต มือของเขาจะเคลื่อนไหวไม่ได้เลย

จิตเป็นสภาพธรรม ที่วิจิตรมาก   จิตทำให้มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น   ในอัฏฐสาลินี   ซึ่งเป็นอรรถกถาธัมมสังคณีปกรณ์ ตอน 2  จิตตุปปาทกัณฑ์   มีข้อความว่า

ชื่อว่า จิต   เพราะกระทำให้วิจิตรอย่างไรจริงอยู่ธรรมดาว่าความวิจิตรอื่นจะยิ่งไปกว่าจิตรกรรมย่อมไม่มีในโลก   ธรรมดาว่าลวดลายในจิตรกรรมแม้นั้นก็เป็นความวิจิตร   คือ   เป็นความงดงามอย่างยิ่งทีเดียว    พวกช่างลวดลาย   เมื่อจะกระทำจิตรกรรมนั้น   ย่อมเกิดจิตรสัญญาว่า   รูปทั้งหลายชนิดต่างๆ เราพึงกระทำ ณ ตรงนี้   โดยอุบายอย่างนี้    การกระทำให้วิจิตรทั้งหลายที่ให้สำเร็จกิจ   มีการเขียน  การลงสี   การทำสีให้เรืองรอง   และการสลับสี  เป็นต้น   ย่อมเกิดขึ้นด้วยสัญญาอันวิจิตร    รูปอันวิจิตรอย่างใดอย่างหนึ่ง   ในความวิจิตรคือลวดลาย   ย่อมสำเร็จมาจากการกระทำให้วิจิตรนั้น   เพราะเหตุนั้น   ศิลปอันวิจิตรทุกชนิดในโลก   อันจิตนั่นเองคิดว่า   รูปนี้จงอยู่บนรูปนี้   รูปนี้จงอยู่ใต้   รูปนี้จงอยู่ข้างทั้งสอง ดังนี้  แล้วจึงกระทำ    เหมือนรูปอันวิจิตรที่เหลือย่อมสำเร็จได้ด้วยกรรมอันช่างคิดแล้ว    ฉะนั้น   แม้จิตที่ให้สำเร็จความวิจิตรนั้น   ก็ชื่อว่าจิตรอย่างนั้นเหมือนกัน   เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตรด้วยการกระทำนี้   ดังพรรณนามาฉะนี้

อีกอย่างหนึ่ง   จิตนั่นเองชื่อว่าวิจิตรแม้กว่าลวดลายในจิตรกรรมนั้น   เพราะให้สำเร็จจิตรกรรมตามที่จิตคิดทุกชนิด   เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า   "ภิกษุทั้งหลาย   ธรรมดาว่าลวดลายอันวิจิตร   พวกเธอเห็นแล้วหรือ"  "เห็นแล้วพระพุทธเจ้าข้า"    "ภิกษุทั้งหลาย   ลวดลายอันวิจิตรแม้นั้นแล   ก็จิตนั้นเองคิดแล้ว   ภิกษุทั้งหลาย   จิตนั่นแหละวิจิตรกว่าลวดลายอันวิจิตรแม้นั้นแล"

และมีข้อความที่แสดงว่า สิ่งต่างๆสำเร็จด้วยจิต   เช่น   การให้ทานซึ่งเป็นกุศลกรรม   การทารุณโหดร้าย  การหลอกลวง   ซึ่งเป็นอกุศลกรรม    กุศลกรรมและอกุศลกรรมย่อมให้ผลต่างกัน   ฉะนั้นจึงไม่ใช่ว่ามีจิตเพียงประเภทเดียวเท่านั้น   แต่มีจิตมากมายหลายประเภททีเดียว

แต่ละคนมีการแสดงออกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างกัน   ทั้งนี้เพราะ จิตประเภทต่างๆ ที่เกิดขึ้น   คนหนึ่งชอบสิ่งหนึ่ง   แต่อีกคนหนึ่งไม่ชอบ    เราอาจสังเกตุเห็นว่า   แต่ละคนไม่เหมือนกันขณะที่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด     ถึงแม้ว่าคน 2 คน คิดที่จะทำสิ่งเดียวกัน   แต่ผลก็ต่างกัน  เช่น  คน 2 คนเขียนภาพต้นไม้ต้นเดียวกัน   ภาพ 2 ภาพก็จะแตกต่างกันบ้าง  แต่ละคนมีความเฉลียวฉลาดและความสามารถไม่เหมือนกัน   บางคนศึกษาได้โดยไม่ยากเลย   แต่บางคนก็ไม่สามารถจะศึกษาได้   ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาจิตได้   จิตแต่ละดวง (ประเภท) มีปัจจัยเฉพาะแต่ละขณะที่เกิดขึ้น

เพราะเหตุใดคนเราจึงต่างกัน   เหตุผลก็คือ   แต่ละคนประสบสิ่งต่างๆในชีวิตไม่เหมือนกัน   จึงเป็นเหตุให้ แต่ละคนสะสมอุปนิสัยต่างๆกัน   เด็กที่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แต่เยาว์วัยก็ย่อมสะสมอุปนิสัยนั้น   คนที่โกรธบ่อยๆ   ก็ย่อมสะสมความโกรธไว้มาก   แต่ละคนสะสมอุปนิสัย  รสนิยม และความชำนาญมาต่างๆกัน

จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป   จิตอีกดวงหนึ่งก็เกิดขึ้นสืบต่อทันทีทุกขณะ   ฉะนั้นจะมีการสะสมสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต   และอุปนิสัยที่ดีและไม่ดีได้อย่างไร   เหตุผลก็คือ   เมื่อจิตขณะหนึ่งดับไปแล้ว จิตอีกขณะหนึ่งก็เกิดสืบต่อทันที    ชีวิตของเราเป็นเพียงการเกิดดับสืบต่อของจิตทีละดวงโดยไม่ขาดสาย   จิตแต่ละขณะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น   ฉะนั้น   จิตที่ดับไปแล้วจึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะนี้เกิดขึ้น   เป็นความจริงที่กุศลจิตและอกุศลจิตในอดีตเป็นปัจจัยของอุปนิสัยในปัจจุบัน   ทั้งนี้เพราะอุปนิสัยที่ดีและไม่ดีนั้นสะสมสืบต่อมาในจิตทุกดวง

เราได้สะสมอุปนิสัยที่ไม่ดีและกิเลสไว้มาก   เช่น  โลภะ  โทสะ  และ โมหะ เป็นต้น    กิเลสมีหลายระดับขั้น   มีกิเลสอย่างละเอียด   กิเลสอย่างกลาง   และกิเลสอย่างหยาบ    กิเลสอย่างละเอียดไม่ปรากฏ แต่เป็นอนุสัย คือกิเลสที่ละเอียดสะสมในจิต ในขณะที่นอนหลับสนิทและไม่ฝันนั้นอกุศลจิตไม่เกิด   แต่ก็มีอนุสัยกิเลสอยู่ในจิตสันดาน   เมื่อตื่นขึ้นอกุศลจิตก็เกิดขึ้นอีก   อกุศลจิตจะเกิดได้อย่างไรถ้าจิตแต่ละดวงไม่ได้สะสมอนุสัยกิเลสไว้   และถึงแม้ว่าจิตที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นอกุศลจิต   แต่จิตนั้นก็ยังมีอนุสัยกิเลสอยู่ตราบที่ปัญญายังไม่ได้ดับให้หมดสิ้นไป    กิเลสอย่างกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) นั้น  ต่างกับอนุสัยกิเลส เพราะปริยุฏฐานกิเลสเกิดขึ้นพร้อมกับจิตซึ่งมีโลภะ   โทสะ และโมหะเป็นมูล  เช่น   ความยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น   หรือได้ยิน หรือสัมผัสทางกาย   หรือความไม่พอใจในอารมณ์ที่ปรากฏ    ปริยุฏฐานกิเลสไม่ได้เป็นปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรม   กิเลสอย่างหยาบเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลกรรมทางกาย   ทางวาจา  และทางใจ  เช่น   การฆ่า  การกล่าวร้ายผู้อื่น   หรือความต้องการที่จะเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน    กรรม (เจตนา) เป็นนามธรรมประเภทหนึ่งซึ่งสะสมไว้ด้วย   ฉะนั้นทุกคนจึงสะสมกิเลสและกรรมต่างๆกัน

การสะสมกรรมต่างๆกันเป็นปัจจัยให้เกิด ผลในชีวิตต่างๆกัน   ซึ่งกฏของ กรรม และ วิบาก   กฏของ เหตุ และ ผล    เราจะเห็นว่าคนเราเกิดในสภาพแวดล้อมต่างกัน   บางคนมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่สุขสบายและประสบแต่สิ่งที่น่ายินดีพอใจเป็นส่วนมาก   บางคนอาจประสบสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจเป็นส่วนใหญ่   ยากจนหรือต้องทนทุกข์เพราะโรคภัย   เมื่อเราได้รับข่าวเด็กป่วยเพราะขาดอาหาร   เราก็อาจสงสัยว่าทำไมเด็กหล่าวนี้จึงมีสภาพเช่นนี้   ในขณะที่เด็กอื่นๆมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ   

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า   ทุกคนย่อมได้รับผลของการกระทำของตน   กรรมที่ได้กระทำแล้วสามารถให้ผลในกาลภายหน้า   เพราะอกุศลกรรมและกุศลกรรมได้สะสมไว้แล้ว   เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว   ผลก็เกิดขึ้นเป็น วิบาก    เมื่อใช้คำว่า "ผล" บางคนอาจจะคิดถึงผลที่ได้กระทำต่อบุคคลอื่น   แต่ "ผล" ที่เป็นวิบากไม่ใช่เช่นนั้น    วิบากจิตเป็นจิตที่ประสบกับสภาพธรรมที่ไม่น่ายินดีพอใจหรือสภาพธรรมที่น่ายินดีพอใจ   จิตที่เป็นวิบากนั้นเป็น ผลของการกระทำของเราเอง เราเคยคิดว่าเป็นตัวตนที่ประสบสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจหรือสิ่งที่น่ายินดีพอใจ   แต่แท้จริงแล้วไม่มีตัวตน   มีแต่จิตเท่านั้นที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ   จิตบางดวงเป็นเหตุ   จิตเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม   ซึ่งสามารถทำให้เกิดผลซึ่งสมควรแก่เหตุนั้นๆ   จิตบางดวงเป็น ผล หรือ วิบาก    เมื่อเห็นสิ่งซึ่งไม่น่ายินดีพอใจ   ก็ไม่ใช่ตัวตนที่เห็น   แต่เป็น จิต คือ จักขุวิญญาณ   ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วในชาตินี้หรือในชาติก่อนๆ   จิตดวงนี้เป็น อกุศลวิบากจิต   เมื่อเห็นสิ่งที่น่ายินดีพอใจก็เป็น กุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมหนึ่งที่ได้กระทำมาแล้ว    ทุกครั้งที่ประสบอารมณ์ซึ่งไม่เป็นที่น่ายินดีพอใจทางทวารใดทวารหนึ่งใน 5 ทวาร  
นั่นเป็นอกุศลวิบาก   ทุกครั้งที่ประสบอารมณ์ซึ่งเป็นที่น่ายินดีพอใจทางทวารใดทวารหนึ่งใน 5 ทวาร  นั่นก็เป็นกุศลวิบาก

ถ้าถูกคนอื่นทำร้ายร่างกาย   ความรู้สึกเจ็บปวดไม่ใช่วิบาก (ผล) ของการกระทำของคนอื่น   ผู้ที่ถูกทำร้ายได้รับผลของอกุศลกรรมซึ่งตนได้กระทำมาแล้วขณะนั้นเป็นอกุศลวิบากของตนเองที่เกิดขึ้นทางกายการกระทำของคนอื่นเป็นเพียงปัจจัยของความเจ็บปวด    ส่วนคนที่ทำร้ายคนอื่นนั้น   ก็เป็นอกุศลจิตของเขาซึ่งเป็นเหตุให้ทำอกุศลกรรม   ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะได้รับผลของอกุศลกรรมนั้น    เมื่อเข้าใจเรื่อง กรรม และ วิบาก ดีขึ้น   เราก็จะเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเราได้ชัดขึ้น

ในอัฏฐสาลินีตอน 2   จิตตุปปาทกัณฑ์   มีข้อความเรื่องกรรมของบุคคลต่างๆ   ซึ่งให้ผลต่างกันในขณะปฏิสนธิและในขณะปวัตติกาลต่อมา   แม้แต่รูปร่างลักษณะก็เป็นผลของกรรม   ซึ่งมีข้อความว่า

.....เพราะอาศัยความต่างกันแห่งกรรม (คือ)  สัตว์ทั้งหลาย   เป็นสัตว์ไม่มีเท้า  มี 2 เท้า   มี 4 เท้า  มากเท้า  มีรูป   ไม่มีรูป  มีสัญญา ไม่มีสัญญา มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่   ความต่างกันแห่งอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย   คือ   ความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้สูงและตํ่า   เลวและประณีต   ไปสู่ที่ดีและไปสู่ที่ชั่ว   ย่อมปรากฏ   เพราะอาศัยความต่างกันแห่งกรรม   ความต่างกันในอัตภาพของสัตว์ทั้งหลาย   คือความเป็นผู้มีพรรณะดีและพรรณะเลว   เกิดดีหรือเกิดชั่ว   มีสัณฐานดีหรือสัณฐานชั่ว   ย่อมปรากฏ   เพราะอาศัยความต่างกันแห่งกรรม    ความต่างกันในโลกธรรม  คือ   มีลาภ  เสื่อมลาภ  มียศ   เสื่อมยศ  นินทา  สรรเสริญ   สุขและทุกข์   ย่อมปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย   เพราะอาศัยความต่างกันแห่งกรรมฯ

แม้ข้ออื่นก็ตรัสไว้ว่า

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม 
หมู่สัตว์ย่อมหมุนไปตามกรรม
สัตว์ทั้งหลายย่อมมีกรรมเป็นเครื่องผูกพัน
เหมือนลิ่มสลักเพลารถที่วิ่งไปอยู่   ฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า   สภาพธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย   การที่คนเรามีรูปร่างลักษณะและมีชีวิตในสภาพแวดล้อมต่างกันนั้นไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ   แม้การที่สัตว์ดิรัจฉานมีรูปร่างลักษณะต่างกันก็เพราะทำกรรมต่างกัน   สัตว์ดิรัจฉานก็มีจิต   และอาจทำชั่วหรือทำดีก็ได้    ฉะนั้น   สัตว์ดิรัจฉานก็สะสมกรรมต่างๆ   ซึ่งทำให้เกิดผลต่างๆด้วย 

ถ้าเรารู้ว่ากรรมแต่ละกรรมย่อมนำมาซึ่งผลของกรรมนั้น เราก็จะเห็นว่า   ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทะนงตนที่เกิดในตระกูลมั่งมีหรือเมื่อได้รับคำสรรเสริญ   ลาภ  สักการะ    เมื่อเรามีทุกข์   เราก็รู้ว่าความทุกข์นั้นเป็นผลของการกระทำของเราเอง    ฉะนั้น   เราก็ย่อมจะโทษผู้อื่นน้อยลงว่าทำให้เราได้รับทุกข์   หรือไม่ริษยาเมื่อผู้อื่นได้รับสิ่งที่น่ายินดีพอใจ    เมื่อเข้าใจสภาพธรรมแล้วก็จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนซึ่งได้รับสิ่งที่น่ายินดีพอใจหรือได้รับทุกข์   แต่เป็นเพียง วิบาก เป็นจิตประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปทันที

เราจะเห็นว่าคนที่เกิดในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ก็ยัง ประพฤติต่างกัน   เช่น   คนที่เกิดในตระกูลมั่งคั่งนั้น   บางคนก็ตระหนี่   บางคนก็ไม่ตระหนี่   การเกิดในสกุลที่มั่งคั่งนั้นเป็นผลของกรรม   ส่วนความตระหนี่เกิดจากกิเลสที่ได้สะสมไว้   มีเหตุปัจจัยหลายหย่างที่เป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตของแต่ละคน กรรม เป็นเหตุให้คนเกิดในสิ่งแวดล้อมต่างๆกัน   และ กิเลสที่สะสม ไว้นั้น   ทำให้อุปนิสัยของแต่ละคนต่างกัน

บางคนอาจสงสัยในเรื่องชาติก่อนและชาติหน้า   เพราะเหตุว่าเรารู้แต่ชาตินี้เท่านั้น   แต่ในชาตินี้เราก็อาจสังเกตุได้ว่า   คนเราได้รับผลกรรมต่างกัน 
ผลทั้งหลายย่อมมีเหตุในอดีต   อดีตให้ผลในปัจจุบัน และกรรมในปัจจุบันย่อมให้ผลในอนาคต    ความเข้าใจในปัจจุบันจะทำให้เราเข้าใจอดีตและอนาคตยิ่งขึ้น

ชาติก่อน  ชาติปัจจุบัน   และชาติหน้า  เป็น การสืบต่อของจิตมากมายหลายประเภท โดยไม่ขาดสาย   จิตแต่ละดวงซึ่งเกิดขึ้นย่อมดับไปทันที   แล้วจิตดวงต่อไปก็เกิดสืบต่อ   จิตไม่เที่ยง   แต่ก็ไม่มีแม้สักขณะเดียวที่ไม่มีจิต   ถ้าขณะใดไม่มีจิต   ร่างกายขณะนั้นก็จะเป็นร่างที่ตายแล้ว   แม้ในขณะที่หลับสนิทก็มีจิตเกิดดับ  

จิตแต่ละดวงซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปนี้   เป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อ   และแม้จิตดวงสุดท้ายของชาตินี้ก็เป็นปัจจัยให้จิตดวงแรกของชาติหน้าคือปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น    ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าชีวิตย่อมหมุนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ไม่สิ้นสุด   เป็นสังสารวัฏฏ์ของการเกิดและการตาย

จิตดวงต่อไปจะเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่าจิตดวงก่อนดับไปแล้ว   ในขณะหนึ่งๆ จะมีจิตเพียงหนึ่งดวงเท่านั้นแต่จิตก็เกิดดับรวดเร็วจนทำให้เรารู้สึกว่าในขณะหนึ่งนั้นมีจิตมากกว่าหนึ่งดวง   เราอาจคิดว่าเราเห็นและได้ยินพร้อมกัน   แต่ความจริงนั้นจิตแต่ละดวงเกิดต่างขณะกัน   เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองว่า   การเห็นเป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งต่างจากการได้ยิน   จิตแต่ละประเภทเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างกันและรู้อารมณ์ต่างกัน
ิจิตเป็นสภาพรู้อารมณ์  จิตทุกดวงต้องรู้อารมณ์   จะมีจิตโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้   จิตรู้อารมณ์ต่างๆทางทวาร 6   คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น   กาย  และใจ การเห็นเป็นจิตซึ่งรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา   เราอาจใช้คำว่า "สิ่งที่ปรากฏทางตา"   เรียกสิ่งที่ถูกเห็น   แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกว่า "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบจักขุปสาทก็มีปัจจัยที่ทำให้การเห็นเกิดขึ้น   การเห็นต่างกับการคิดนึกเรื่องสิ่งที่เห็น   การคิดนึกเป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งรู้อารมณ์ทางมโนทวาร   การได้ยินก็ต่างกับการเห็น   การได้ยินมีเหตุปัจจัยและรู้อารมณ์ต่างกับการเห็น    เมื่อเสียงกระทบโสตปสาทก็มีปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นรู้เสียงนั้น   จะต้องมีเหตุปัจจัยที่เหมาะควรแก่การเกิดขึ้นของจิตแต่ละประเภท   เราไม่สามารถรู้กลิ่นทางหูและลิ้มรสทางตา    จิตที่ได้กลิ่นรู้กลิ่นทางจมูก   จิตที่ลิ้มรสรู้รสทางลิ้น    จิตที่รู้สิ่งซึ่งสัมผัสกาย   รู้โผฏฐัพพารมณ์ทางกาย    จิตที่รู้อารมณ์ทางใจสามารถรู้อารมณ์ได้ทุกอย่าง    ในขณะหนึ่งๆนั้นจะมีจิตเกิดได้ทีละดวง และรู้อารมณ์ได้เพียงทีละอารมณ์เท่านั้น

โดยปริยัติ   เราอาจเข้าใจได้ว่า   จิตเห็นมีลักษณะต่างจากจิตได้ยิน   และรู้ว่าจิตต่างกับรูปธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร    การรู้เช่นนี้ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องง่ายๆ   แต่การรู้โดยปริยัติต่างกับการที่รู้ที่ประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง   การรู้โดยปริยัติไม่ลึกซึ้ง   ไม่สามารถดับความเห็นผิดให้หมดสิ้นได้    การมีสติระลึกรู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นทางทวาร 6 เท่านั้นที่ทำให้เรารู้แจ้งความจริงด้วยตนเองได้   ปัญญาซึ่งประจักษ์แจ้งสภาพธรรมสามารถดับความเห็นผิดให้หมดสิ้นได้

อารมณ์ที่เรารู้เป็นโลกที่เราอยู่   ขณะเห็นก็เป็นโลกที่ปรากฏทางตา   โลกที่ปรากฏทางตาไม่ยั่งยืน   ดับทันที   ขณะได้ยิน ก็เป็นโลกเสียงซึ่งก็ดับไปอีก เราติดเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ปรากฏทางตา   ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น   ทางกาย  และทางใจ    แต่สภาพธรรมเหล่านั้นไม่เที่ยง   สิ่งใดไม่เที่ยงย่อมไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน

ในอังคุตตรนิกาย  จตุกกนิบาต   โรหิตัสสวรรคที่ 5 โรหิตัสสเทพบุตร    ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเรื่องที่สุดของโลกว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   บุคคลสถิตอยู่ ณ ที่ใดหนอ   จึงจะไม่เกิด  ไม่แก่   ไม่ตาย  ไม่จุติ  ไม่อุปปัติ    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   อันบุคคลจะอาจบ้างหรือไม่   เพื่อที่จะรู้ เพื่อที่จะเห็น   หรือเพื่อที่จะบรรลุที่สุดของโลกได้ ด้วยการเดินทางฯ"

"อาวุโส   ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด  ไม่แก่   ไม่ตาย  ไม่จุติ  ไม่อุปปัติ    เราไม่พูดถึงที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลกว่า   ควรรู้  ควรเห็น  ควรบรรลุ ด้วยการเดินทางฯ"

"น่าอัศจรรย์  พระเจ้าข้า   ไม่เคยมีมา  พระเจ้าข้า   พระดำรัสนี้   พระผู้มีพระภาคตรัสแจ่มแจ้งดังปรากฏว่า   อาวุโส  ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด...เราไม่พูดถึงที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลกว่า   ควรรู้ควรเห็น  ควรบรรลุ ด้วยการเดินทางฯ"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   แต่ปางก่อน   ข้าพระองค์เป็นฤาษีชื่อโรหิตัสสะ   เป็นบุตรของอิสสรชน  มีฤทธ์   เหาะไปในอากาศได้.... ย่างเท้าของข้าพระองค์เห็นปานนี้ ประดุจจากมหาสมุทรด้านทิศบูรพา   ก้าวถึงมหาสมุทรด้านทิศประจิม ข้าพระองค์มาประสงค์อยู่แต่เพียงว่า   เราจักบรรลุถึงที่สุดของโลก   ด้วยการเดินทาง"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   ข้าพระองค์ประกอบด้วยความเร็วขนาดนี้   ด้วยย่างเท้าขนาดนี้   เว้นจากการกิน  การขบเคี้ยว   และการลิ้มรสอาหาร   เว้นจากการถ่ายอุจจาระ   ปัสสาวะ    เว้นจากความระงับความเหน็ดเหนื่อยด้วยการหลับนอน   มีอายุถึงร้อยปี   ดำรงชีพอยู่ถึงร้อยปี   เดินทางตลอดร้อยปีก็ยังไม่ถึงที่สุดของโลกได้   แต่มาทำกาลกิริยาเสียในระวาง    น่าอัศจรรย์นัก   พระเจ้าข้า   ไม่เคยมีมาพระเจ้าข้า    พระดำรัสนี้   พระผู้มีพระภาคตรัสแจ่มแจ้งแล้ว  
ดังปรากฏว่า  อาวุโส    ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด..... เราไม่พูดถึงที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลกว่าควรรู้ควรเห็น   ควรบรรลุ ด้วยการเดินทางฯ"

"ดูกรอาวุโส   ก็ถ้าหากเรายังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว   ก็จะไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดของทุกข์   ก็แต่ว่าเราบัญญัติเรียกว่าโลก   เหตุให้เกิดโลก   การดับของโลก   และทางให้ถึงความดับของโลก   ในสรีระร่าง   มีประมาณวาหนึ่งนี้   และพร้อมทั้งสัญญา   พร้อมทั้งใจครองฯ"

...... แต่ไหนแต่ไรมา   ยังไม่มีใครบรรลุถึงที่สุดโลกด้วยการเดินทาง

และเพราะที่ยังบรรลุถึงที่สุดไม่ได้   จึงไม่พ้นไปจากทุกข์

เหตุนั้นแหละ  คนมีปัญญาดี   ตระหนักชัดเรื่องโลก
ถึงที่สุดโลกได้   อยู่จบพรหมจรรย์ (ภาษาบาลี: พรหมจริย) แล้ว
รู้จักที่สุดในโลกแล้ว   เป็นผู้ระงับแล้ว
จึงไม่หวังโลกนี้และโลกหน้าฯ"

พระผู้มีพระภาคตรัสสอนเรื่องโลก   และหนทางที่จะถึงซึ่งความดับของโลก   ซึ่งก็คือความดับทุกข์    ทางที่จะประจักษ์ความจริงนี้ได้ก็ด้วยการรู้แจ้งโลก   คือ  รู้สรีระร่าง   มีประมาณวาหนึ่งนี้พร้อมทั้งสัญญา พร้อมทั้งใจครอง   ซึ่งเป็นการรู้จักตนเอง

 

ดูสารบัญ

home         ปัญหาถาม-ตอบ        หนังสือธรรมะ

พระไตรปิฎก

หมายเหตุ: คัดลอกจากหนังสือ  "พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน"
โดย  Nina Van Gorkom
แปลโดย  ดวงเดือน  บารมีธรรม
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

 

Click Here!

 


ดูสารบัญ

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


"แม้จิตดวงสุดท้ายของชาตินี้ก็เป็นปัจจัยให้จิตดวงแรกของชาติหน้าคือปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น"