Buddhist Study | บทที่ 4 ลักษณะของโลภะ | |||
"แทนที่จะสนใจในอกุศลจิตของผู้อื่น เราควรจะระลึกรู้อกุศลจิตของเราเอง"
"ถ้าเราศึกษาและเข้าใจจิตประเภทต่างๆมากขึ้น เราก็จะรู้ด้วยตนเองว่า จิตประเภทใดเกิดบ่อย และเราก็จะรู้จักตัวเองดีขึ้น"
"โลภะมีลักษณะ
"ขณะใดที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าพอใจปรากฏ ขณะนั้นโลภะย่อมเกิดขึ้น วันหนึ่งๆ โลภะเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน"
"อารมณ์ที่ดีซึ่งสามารถรู้ได้ทางทวาร 5 นั้นว่า กามคุณ 5"
"โสมนัสซึ่งเกิดกับโลภมูลจิตต่างกับโสมนัสซึ่งเกิดกับกุศลจิต"
"โลภะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อเราต้องพลัดพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รักหรือสูญเสียสิ่งที่รัก เราย่อมเป็นทุกข์ "
"ทิฏฐิเป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง
"การยึดถือร่างกายว่าเป็นตัวตนนั้นเป็น
"เวทนา
ที่เกิดพร้อมกับโลภมูลจิตนั้น
อาจเป็น โสมนัสเวทนา หรือ
อุเบกขาเวทนา ก็ได้
แต่โทมนัสเวทนาจะไม่เกิดกับ
"ตัวอย่างของโลภมูลจิตซึ่งไม่ประกอบด้วย
"ตัวอย่างของโลภมูลจิตที่ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา เช่น ขณะที่เพลิดเพลินพอใจในสีสวยๆ หรือเสียงเพราะๆ "
"ตัวอย่างของโลภะมูลจิตซึ่งไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย เช่น ขณะที่อยากจะยืนหรืออยากจะหยิบจับอะไรๆ"
|
จิตมีมากมายหลายประเภท มี อกุศลจิต (จิตที่ไม่ดีงาม) กุศลจิต (จิตที่ดีงาม) วิบากจิต (จิตที่เป็นผล) และกิริยาจิต (จิตที่ไม่เป็นทั้งเหตุและผล) จิตต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ แต่ว่าเราไม่ค่อยรู้เรื่องจิตเหล่านี้เลย โดยมากเราไม่รู้ว่า จิตเป็น อกุศล หรือ กุศล หรือ วิบาก หรือ กิริยา ถ้าเราพิจารณาสภาพของจิตก็จะเข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น เราจะมีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นมากขึ้น แม้ว่าผู้นั้นจะประพฤติไม่สมควร เราไม่ชอบอกุศลจิตของผู้อื่น เราไม่พอใจเมื่อผู้อื่นตระหนี่หรือกล่าววาจาหยาบคาย แต่เรารู้บ้างไหมว่าเรามีอกุศลจิตขณะไหนบ้าง ขณะที่เราไม่พอใจวาจาหยาบคายของผู้อื่น ขณะนั้นเราเองมีอกุศลจิตซึ่งประกอบด้วยโทสะ แทนที่จะสนใจในอกุศลจิตของผู้อื่น เราควรจะระลึกรู้อกุศลจิตของเราเองผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมซึ่งอธิบายสภาพธรรมไว้อย่างละเอียด อาจไม่รู้ว่าอะไรเป็นอกุศล อาจเข้าใจว่าอกุศลเป็นกุศล ฉะนั้นจึงสะสมอกุศลโดยไม่รู้ถ้าเราศึกษาและเข้าใจจิตประเภทต่างๆมากขึ้น เราก็จะรู้ด้วยตนเองว่า จิตประเภทใดเกิดบ่อย และเราก็จะรู้จักตัวเองดีขึ้น เราควรรู้ความแตกต่างกันของ กุศลธรรม
และ อกุศลธรรม
ในอัฏฐสาลินี
จิตตุปปาทกัณฑ์ อธิบายคำว่า
"กุศล" ว่า
กุศลมีความหมายหลายอย่าง
คือชื่อว่ากุศล
เพราะอรรถว่า ขณะให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนานั้นจิตเป็นกุศล กุศลต่างๆ เช่น อนุโมทนากุศลกรรมของผู้อื่น สงเคราะห์เกื้อกูลผู้อื่น ความสุภาพอ่อนโยน ความอ่อนน้อม การรักษาศีล การศึกษาธรรม การแสดงธรรม การเจริญสมถะและการเจริญวิปัสสนานั้น รวมอยู่ในทาน ศีล หรือภาวนา กุศลมีวิบากที่น่าปราถนา กุศลกรรมทุกอย่างย่อมนำมาซึ่งวิบากที่น่าปราถนา ในอัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ มีข้อความอธิบายเรื่อง อกุศลธรรม ว่า
อกุศลกรรมย่อมให้ผลเป็นทุกข์
ไม่มีใคร เมื่อศึกษาพระอภิธรรม ก็รู้ว่ามีอกุศลจิต 3 ประเภท คือ 1. โลภมูลจิต
จิตซึ่งมี โลภะ
เป็นมูลเหตุ โมหะ (ความไม่รู้) เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง แท้จริงโลภะมูลจิตมี 2 เหตุ คือ โมหเหตุ และ โลภเหตุ แต่ที่เรียกว่า โลภมูลจิต นั้นก็เพราะเหตุว่า ไม่ใช่มีแต่โมหะที่เกิดกับอกุศลจิตทุกดวงเท่านั้น แต่ยังมีโลภะอีกด้วย ฉะนั้จึงเรียกโลภะมูลจิตตามโลภะซึ่งเป็นเหตุ โทสมูลจิต ก็มี 2 เหตุ คือโมหเหตุและโทสเหตุ ที่เรียกว่า โทสมูลจิต ก็เพราะมีโทสเหตุ อกุศลจิต 3 ประเภทนั้น แต่ละประเภทมีหลายดวง เพราะมีจิตต่างกันมากมายหลายประเภท โลภมูลจิต นั้น ต่างกันเป็น 8 ดวง เมื่อเรารู้ลักษณะของโลภะมากขึ้น และรู้ขณะที่โลภะเกิดขึ้น ก็จะสังเกตุเห็นว่า โลภมูลจิตมีลักษณะต่างๆกัน โลภะ เป็นปรมัตถธรรม เป็น เจตสิก (ธรรมประเภทหนึ่งซึ่งเกิดพร้อมกับจิต) โลภะมีจริงและสามารถพิสูจน์ได้ โลภะมีลักษณะ "ยึดมั่น" หรือ "ติดข้อง" ในวิสุทธิมัคค์ขันธนิทเทส มีข้อความว่า
บางครั้งโลภะ แปลว่า
"ต้องการ" หรือ
"ความอยาก"
โลภะแปลได้หลายอย่าง
เพราะเหตุว่าโลภะมีหลายระดับขั้น
มีโลภะ ขั้นหยาบ ขั้นกลาง
และ ขั้นละเอียด โลภะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
ในพระสูตรหลายพระสูตร
พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
เรื่องโลภะ ทรงชี้โทษของโลภะ
และหนทางที่จะสละโลภะ ในมัขฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ภาค 1 มหาทุกขักขันธสูตร มีข้อความว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่พระวิหารเชตวัน เขตพระนครสาวัตถีพระผู้มีพระภาคตรัสกะพระภิกษุทั้งหลายว่า
ความเพลิดเพลินยินดีในกามคุณ 5 ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคอาจคิดว่า ความยึดมั่นผูกพันเป็นกุศล โดยเฉพาะเมื่อความยึดมั่นผูกพันนั้นเกิดพร้อมกับโสมนัส เขาอาจไม่รู้ความต่างกันของความติดข้องกับเมตตาซึ่งเป็นสภาพธรรมต่างชนิด แต่เกิดกับโสมนัสได้ แต่จิตที่เกิดกับโสมนัสนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกุศลจิต เมื่อเข้าใจเรื่องอกุศลจิตและกุศลจิตดีขึ้น
และสังเกตุลักษณะที่ต่างกันของจิต
2 ประเภทนี้
ก็จะเห็นว่าโสมนัสซึ่งเกิดกับโลภมูลจิตต่างกับโสมนัสซึ่งเกิดกับกุศลจิต
ความรู้สึก (เวทนา)
เป็นเจตสิกดวงหนึ่ง
ซึ่งเกิดพร้อมกับจิตทุกดวง
เมื่อจิตเป็นอกุศล
เวทนาก็เป็นอกุศล
และเมื่อจิตเป็นกุศล
เวทนาก็เป็นกุศล พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
โลภะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
เมื่อเราต้องพลัดพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รักหรือสูญเสียสิ่งที่รัก
เราย่อมเป็นทุกข์
ถ้าเราติดชีวิตที่สะดวกสบาย
ก็ย่อมจะเดือดร้อนเมื่อต้องประสบกับความทุกข์ยากหรือเหตุการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่ปราถนา
ต่อจากนั้นมีข้อความเรื่องโทษของกามคุณ 5 และผลร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพระผู้มีพระภาคยังได้ทรงแสดงคุณและโทษของรูปว่า
ข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสกะพระภิกษุทั้งหลายอาจจะรุนแรงสำหรับเรา แต่เป็นสัจจธรรม เรารู้สึกว่ายากที่จะยอมรับสภาพชีวิตตามความเป็นจริง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราทนไม่ได้ที่จะคิดว่าร่างกายของเราหรือร่างกายของคนที่เรารักนั้นเป็นดังซากศพ เรายอมเรื่องการเกิด แต่ไม่ค่อยอยากจะยอมรับหลังการเกิด ซึ่งได้แก่ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย เราไม่อยากรู้เห็นสภาพที่ไม่เที่ยงของสังขารธรรมทั้งหลาย เวลาส่องกระจกและตบแต่งร่างกาย เราก็อยากให้ร่างกายเป็นตัวตนที่ยั่งยืนและเป็นของเรา แต่ร่างกายก็เป็นเพียงรูปธาตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทันที ไม่มีสักอณูเดียวของร่างกายที่ยั่งยืน การยึดถือร่างกายว่าเป็นตัวตนนั้น เป็น ความเห็นผิด อย่างหนึ่ง ในภาษาบาลีเรียกว่า ทิฏฐิ ทิฏฐิเป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดพร้อมกับโลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) โลภมูลจิตมี 8 ดวง โลภมูลจิต 4 ดวง ประกอบด้วย มิจฉาทิฏฐิ ขณะใดที่โลภมูลจิตประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้น ขณะนั้นก็มีความเห็นผิด ความเห็นผิดมีหลายอย่าง
ความเห็นว่ามี "ตัวตน"
เป็นความเห็นผิดอย่างหนึ่ง
ขณะที่ยึดมั่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็น
"ตัวตน" ขณะนั้นก็เป็นทิฏฐิ
บางคนเห็นว่ามีตัวตนอยู่ในชาตินี้และจะมีตัวตนอยู่ต่อไปอีกหลังจากสิ้นชีวิตแล้ว
นี่เป็นสัสสตทิฏฐิ
บางคนเห็นว่ามีตัวตนอยู่ในชาตินี้เท่านั้น
และจะสูญไปเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว
นี่เป็นอุจเฉททิฏฐิ
ทิฏฐิอีกอย่างหนึ่งคือเห็นว่าไม่มีกรรมที่จะทำให้เกิดวิบาก
กรรมไม่มีผล ในโลภมูลจิต 8 ดวงนั้น โลภมูลจิต
4 ดวง เกิดร่วมกับความเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่า สำหรับ เวทนา
ที่เกิดพร้อมกับโลภมูลจิตนั้น
อาจเป็น โสมนัสเวทนา
หรือ อุเบกขาเวทนา ก็ได้
แต่โทมนัสเวทนาจะไม่เกิดกับโลภมูลจิต
โลภะจะแรงขึ้นเมื่อเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา
สำหรับโลภมูลจิต
ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ 4 ดวงนั้น
เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา 2 ดวง
ภาษาบาลีเรียกว่า โลภมูลจิตนั้นอาจจำแนกได้อีกนัยหนึ่ง
คือ สำหรับโลภมูลจิต 4 ดวงซึ่งประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นอสังขาริก 2 ดวง และเป็นสสังขาริก 2 ดวง โลภมูลจิต 4 ดวงซึ่งไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ เป็นอสังขาริก 2 ดวง เป็นสสังขาริก 2 ดวง ฉะนั้นโลภมูลจิต 8 ดวง จึงเป็น อสังขาริก 4 ดวง และเป็น สสังขาริก 4 ดวง การเรียนรู้คำบาลีและความหมายของคำนั้นๆ เป็นประโยชน์มาก เพราะการถอดความเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ความหมายของสภาพธรรมอย่างชัดเจน โลภมูลจิต 8 ดวง คือ
ฉะนั้น จะเห็นว่า โลภมูลจิตเป็นอสังขาริกหรือสสังขาริกก็ได้ ในอัฏฐสาลินี มีตัวอย่างของโลภมูลจิตที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิและเป็นสสังขาริก อุปมาว่า บุตรชายเศรฐีคนหนึ่งแต่งงานกับหญิงที่มีความเห็นผิด เขาจึงส้องเสพกับพวกที่มีความเห็นผิด ไม่ช้าเขาก็คล้อยตามและพอใจในความเห็นผิดนั้น ตัวอย่างของโลภมูลจิตซึ่งไม่ประกอบด้วย จะเห็นได้ว่า โลภมูลจิตมีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย หรือ มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วยก็ได้ ตัวอย่างของโลภมูลจิตที่ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา เช่น ขณะที่เพลิดเพลินพอใจในสีสวยๆ หรือเสียงเพราะๆ ขณะนั้นเรายินดีพอใจโดยไม่ได้มีความเห็นเรื่องตัวตน เวลาเราชอบเสื้อผ้าสวยๆ ไปดูหนัง หรือหัวเราะและคุยกับคนอื่นเรื่องความสนุกสนานต่างๆ ขณะนั้นเป็นความเพลิดเพลินที่ไม่มีมิจฉาทิฏฐิเกิดร่วมด้วย แต่ก็มีบางขณะที่มีมิจฉาทิฏฐิที่เห็นว่าเป็นตัวตนเกิดร่วมด้วย ตัวอย่างของโลภะมูลจิตซึ่งไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย เช่น ขณะที่อยากจะยืนหรืออยากจะหยิบจับอะไรๆ เพราะธรรมดาเราไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสุขที่ทำอย่างนั้น ขณะนั้นก็เป็นโลภะที่เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าโลภะเป็นเหตุให้ทำสิ่งที่ธรรมดาที่สุดบ่อยๆในชีวิตประจำวัน
home ปัญหาถาม-ตอบ หนังสือธรรมะ หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน"
|
|