Buddhist Study | บทที่ 6 ลักษณะของโทสะ | |||
"ถ้าต้องการให้โทสะลดน้อยลง ก็ควรรู้ลักษณะของโทสะและระลึกรู้สภาพของโทสะเมื่อโทสะเกิด"
"โลภะ เกิดขณะใด จิตพอใจอารมณ์ขณะนั้น แต่ โทสะ เกิดขณะใด จิตไม่พอใจอารมณ์ขณะนั้น"
"่เวลากลัวอะไรก็เป็นโทสะเหมือนกัน เพราะไม่ชอบอารมณ์ที่เรากลัวนั้น"
"โลภะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดโทสะ เราไม่อยากสูญเสียสิ่งซึ่งเป็นที่รัก และเมื่อใดที่สูญเสียเราก็โศกเศร้า ความเศร้าโศกเป็นโทสะ เป็นอกุศล"
"เมื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก็จะคลายความเศร้าโศกลง ไม่มีประโยชน์เลยที่จะโศกเศร้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปแล้ว"
"โทสะเกิดร่วมกับ
ความรู้สึกไม่สบายใจ
(โทมนัสเวทนา)
"เมื่อใดที่รู้สึกไม่สบายใจไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็แสดงว่าขณะนั้นเป็นโทสะ"
"การที่ได้ยินสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจนั้นเป็นอกุศลวิบากซึ่งไม่ได้เกิดจากการกระทำของคนอื่น แต่เป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว"
"ขณะที่สติระลึกรู้สภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏ ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นจนสามารถดับโทสะได้"
"เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในสภาพธรรมต่างๆ ชัดแจ้งขึ้น ก็จะครุ่นคิดถึงอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจน้อยลง เพราะเป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป "
"คนที่ไม่ดีต่อเรานั้นสมควรได้รับความเมตตา
|
ขณะที่เราโกรธใครนั้น เราทำร้ายตนเองเพราะความโกรธของเรา พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโทษของความโกรธ (โทสะ) ในอังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต โกธนาสูตร ว่า คนที่เป็นข้าศึกกันย่อมปราถนาคนผู้เป็นข้าศึกกันให้ได้รับความทุกข์ ความจริงแล้วความทุกข์กำลังคุกคามยํ่ายีหญิงหรือชายผู้มีความโกรธอยู่ ข้อความในโกธนาสูตรมีว่า
ข้อความต่อไปกล่าวถึงความทุกข์อื่นๆ
ที่คนผู้เป็นข้าศึกกันปราถนาให้คนผู้เป็นข้าศึกกันได้รับ
แต่ความทุกข์นั้นๆ
ย่อมเกิดแก่หญิงหรือชายผู้มีความโกรธ
คนผู้เป็นข้าศึกกันย่อมหวังให้คนที่เป็นข้าศึกกันไม่มีความเจริญ
โภคะ ยศ และมิตร
แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดแก่หญิงหรือชายผู้มีความโกรธนั้นเอง
คนผู้เป็นข้าศึกกันย่อมปราถนาว่า เมื่อคนผู้เป็นข้าศึกกันตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดแก่คนผู้โกรธนั่นเอง ข้อความต่อไปมีว่า
เราปราถนาที่จะอยู่ในโลกที่สมัครสมานกลมเกลียวกันระหว่างชาติต่างๆ และเป็นทุกข์เดือดร้อนเมื่อมีการประทุษร้ายเบียดเบียนกัน เราควรพิจารณาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของสงครามและความขัดแย้ง สาเหตุก็คือกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตของแต่ละคน เวลาโกรธ เราคิดว่าคนอื่นและสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจนั้นทำให้เราโกรธ แต่โทสะที่ได้สะสมไว้เป็นเหตุที่แท้จริงทำให้ความโกรธเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าต้องการให้โทสะลดน้อยลง ก็ควรรู้ลักษณะของโทสะและระลึกรู้สภาพของโทสะเมื่อโทสะเกิด โทสะมีหลายขั้น
อาจเป็นความขุ่นใจเล็กน้อยหรือรุนแรงขึ้นจนถึงกับโกรธเคือง
เรารู้จักโทสะขั้นหยาบ
แต่เรารู้จักโทสะอย่างบางเบาบ้างไหม
การศึกษาพระอภิธรรมทำให้รู้ลักษณะของโทสะมากขึ้น
โทสะ เป็น อกุศลเจตสิก
เกิดร่วมกับอกุศลจิต
จิตที่มีโทสะเป็นมูล
ภาษาบาลีเรียกว่า โทสมูลจิต
ลักษณะของโทสะต่างจากลักษณะของโลภะ
โลภะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดโทสะ เราไม่อยากสูญเสียสิ่งซึ่งเป็นที่รัก และเมื่อใดที่สูญเสียเราก็โศกเศร้า ความเศร้าโศกเป็นโทสะ เป็นอกุศล เมื่อไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ย่อมเห็นว่าคนและสิ่งต่างๆ ยั่งยืน แต่คนและสิ่งต่างๆนั้น เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปทันที ชั่วขณะต่อมาสภาพธรรมนั้นๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เมื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก็จะคลายความเศร้าโศกลง ไม่มีประโยชน์เลยที่จะโศกเศร้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปแล้ว ในเถรีคาถา ติกนิบาต
อุพพิริเถรีคาถา พระนาง
เมื่อพระนางอุพพิริทรงพิจารณาธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ฏ็ทรงประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ได้ทรงบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ มีอกุศลเจตสิกอื่นๆอีกซึ่งเกิดร่วมกับโทสมูลจิต ความเสียดาย หรือ ความกังวล ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า กุกกุจจะ ก็เป็นอกุศลเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกับโทสมูลจิตขณะที่ได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ได้ทำสิ่งที่ดี ขณะที่เสียใจนั้นเป็นขณะที่คิดถึงอดีตแทนที่จะระลึกถึงขณะปัจจุบัน เมื่อได้กระทำผิดพลาดไปแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะกังวลใจ ความริษยา (อิสสา) เป็นเจตสิกอีกดวงหนึ่งที่เกิดกับโทสมูลจิต เวลาไม่อยากให้ใครได้รับสิ่งที่น่ายินดีพอใจนั้นเป็นความริษยา ขณะนั้นจิตไม่พอใจอารมณ์นั้น ควรจะสังเกตุว่าความริษยาเกิดบ่อยเพียงใด แม้ว่าเป็นความริษยาเพียงเล็กน้อยก็ตาม นี่เป็นวิธีที่จะรู้ว่าเราใส่ใจคนอื่นหรือไม่ หรือว่าเราคิดถึงแต่ตัวเองเมื่อคบหาสมาคมกับคนอื่น ความตระหนี่ (มัจฉริยะ) เป็นอกุศลเจตสิกอีกดวงหนึ่งซึ่งเกิดกับโทสมูลจิต ขณะที่ตระหนี่นั้นมีโทสะด้วย ขณะนั้นไม่อยากให้คนอื่นมีส่วนในสมบัติที่เรามี โทสะเกิดร่วมกับ ความรู้สึกไม่สบายใจ (โทมนัสเวทนา) เสมอ คนส่วนมากไม่อยากมีโทสะเพราะไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ขณะที่อบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมมากขึ้นนั้น ก็ใคร่จะละโทสะ ทั้งนี้โดยไม่ใช่เพราะไม่ชอบโทมนัสเวทนา แต่เพราะเห็นโทษภัยของอกุศล โทสะเกิดขึ้นได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โทสะเกิดได้เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจ ได้ยินเสียงหยาบกระด้าง ได้กลิ่นที่ไม่ดี ลิ้มรสที่ไม่ถูกปาก กระทบสัมผัสสิ่งที่ทำให้กายเจ็บปวด และคิดนึกเรื่องที่ไม่พอใจ เมื่อใดที่รู้สึกไม่สบายใจไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็แสดงว่าขณะนั้นเป็นโทสะ โทสะอาจจะเกิดบ่อยเมื่อกระทบอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ เช่น อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป เมื่อมีความรู้สึกที่ไม่สบายกายเพียงนิดเดียว โทสะก็เกิดได้แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง โทสะเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย โทสะเกิดได้เสมอตราบใดที่ยัง ติดข้อง ในกามอารมณ์ 5 ที่ปรากฏทางปัญจทวาร ทุกคนอยากจะมีแต่อิฏฐารมณ์เท่านั้น และเมื่อไม่ได้อิฏฐารมณ์อีก โทสะก็จะเกิด ปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้โทสะเกิดก็คือ ความไม่รู้ไม่เข้าใจธรรม ถ้าไม่รู้เรื่องกรรม วิบาก เหตุและผล โทสะอาจเกิดได้ง่ายๆ เมื่อกระทบกับอารมณ์ที่ไม่น่ายินดีพอใจทางทวารใดทวารหนึ่ง ฉะนั้น โทสะจึงสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ขณะประสบอารมณ์ที่ไม่น่ายินดีพอใจทางทวารใดทวารหนึ่งนั้น เป็นอกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว เช่น เมื่อขณะที่ได้ยินคำพูดที่ไม่น่ายินดีพอใจก็อาจโกรธคนที่พูด แต่คนที่ศึกษาธรรมแล้วย่อมรู้ว่า การที่ได้ยินสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจนั้นเป็นอกุศลวิบากซึ่งไม่ได้เกิดจากการกระทำของคนอื่น แต่เป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว วิบากจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทันทีไม่ดำรงยั่งยืน แต่เราก็มักจะครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่ดีนั้นอยู่อีกไม่ใช่หรือ ถ้าสติระลึกรู้สภาพธรรมขณะนี้ ก็จะคลายการคิดถึงอกุศลวิบากด้วยโทสะลงได้ การศึกษาพระอภิธรรมทำให้รู้ว่า
โทสมูลจิตมี 2 ประเภท คือ
โทสมูลจิตที่เป็นอสังขาริก
ดังที่รู้แล้วว่าโทสะมีหลายขั้น อาจจะเป็นโทสะอย่างหยาบ หรือเป็นโทสะอย่างบางเบา โทสะอย่างหยาบเป็นเหตุให้เกิดอกุศลกรรมบถทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ โทสมูลจิตเป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมบถ ทางกาย 2 อย่าง คือ การฆ่า และ การลักทรัพย์ ถ้าต้องการให้ความทารุณโหดร้ายในโลกลดน้อยลง ก็ควรพยายามเว้นการฆ่า ขณะที่ฆ่า โทสะก็จะสะสมมากขึ้น ชีวิตของพระภิกษุเป็นชีวิตที่ไม่เบียดเบียน พระภิกษุไม่ทำร้ายสัตว์โลก แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถมีชีวิตอย่างพระภิกษุได้ กิเลสเป็น อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) กิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จุดมุ่งหมายของพระธรรมนั้นมิใช่เพื่อบัญญัติห้ามไม่ให้กระทำอกุศล แต่เพื่อเกื้อกูลการอบรมเจริญปัญญาเพื่อดับกิเลส ส่วนการลักทรัพย์ของคนอื่นนั้นอาจจะกระทำด้วยโลภมูลจิตหรือโทสมูลจิตก็ได้
ถ้ามีเจตนาที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน
ก็กระทำไปด้วยโทสมูลจิต โทสมูลจิตทำให้เกิดอกุศลกรรมบถ
ทางวาจา 4 ประการ คือ มุสาวาท
ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา และ สัมผัปปลาปวาจา
การพูดเท็จ
การพูดส่อเสียด
และการพูดไร้สาระ
อาจเกิดจากโลภมูลจิตหรือโทสมูลจิตก็ได้
เช่น
ถ้ามีเจตนาที่จะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง
หรือเจตนาที่จะให้ถูกเหยียดหยามเป็นต้น
คนส่วนมากคิดว่าควรหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธ
แต่ลืมไปว่าลิ้นก็เป็นอาวุธซึ่งทำให้เจ็บปวดอย่างมากได้เช่นกัน
วจีทุจริตทำความเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวงในโลก
ทำให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มคนต่างๆ
ผู้ที่กล่าววจีทุจริตย่อมทำร้ายตนเองเพราะขณะนั้นสะสมอกุศลกรรมซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบาก
อกุศลกรรมบถทางมโนทวาร
ที่เกิดจาก คนมักจะพูดถึงการกระทำที่โหดร้ายทารุณและทางแก้ไข มีใครในพวกเราบ้างที่กล้ากล่าวว่าไม่มีโทสะและจะไม่ฆ่าสัตว์เลย เราไม่รู้ว่าได้สะสมโทสะมามากเพียงใดในสังสารวัฏฏ์ เมื่อมีเหตุปัจจัย เราอาจกระทำสิ่งที่โหดร้ายได้โดยไม่รู้ตัวเลยว่าจะกระทำอย่างนั้นได้ เมื่อรู้ว่าโทสะน่าเกลียดน่ากลัวเพียงใด และเป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมใดแล้ว ก็ย่อมต้องการที่จะละโทสะ การกระทำดีต่อคนอื่นนั้น ไม่สามารถละโทสะอย่างละเอียดได้ แต่อย่างน้อยขณะนั้นก็ไม่ได้สะสมโทสะเพิ่มขึ้น พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้เจริญเมตตา ข้อความในขุททกนิกาย สุตตนิบาต กรณียเมตตสูตรที่ 8 (ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยท่านพระภิกษุญาณโมลี พิมพ์โดย Buddhist Publication Society) แสดงว่า การที่จะให้จิตสงบได้นั้นพึงเจริญเมตตาให้สัตว์ทั้งหลาย ดังนี้
พระผู้มีพระภาคทรงสอนไม่ให้โกรธผู้ที่ไม่เป็นที่พอใจของเรา ในพระวินัยปิฎกมหาวรรค ภาค 2 (ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยท่านพระภิกษุญาณโมลี) โกสัมพิขันธกะ เวรุปสมคาถา พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
บางครั้งเรารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเมตตาแทนโทสะ เช่น เมื่อคนอื่นทำไม่ดีกับเรา เราก็ไม่สบายใจและครุ่นคิดแต่เรื่องไม่สบายใจนั้น เมื่อโทสะยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท ก็ยังมีปัจจัยที่โทสะจะเกิดอีก ขณะที่สติระลึกรู้สภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏ ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นจนสามารถดับโทสะได้ การละโทสะนั้นเป็นไปตามลำดับขั้น พระโสดาบันบุคคล (ผู้ที่บรรลุอริยสัจจธรรมขั้นต้น) ยังละโทสะไม่ได้ การบรรลุอริยสัจจธรรมขั้นต่อมาคือ ขั้นพระสกทาคามีบุคคล ก็ยังดับโทสะเป็นสมุจเฉทไม่ได้ ผู้บรรลุอริยสัจจธรรมขั้นที่สาม คือ พระอนาคามีบุคคล ดับโทสะได้เป็นสมุจเฉท ไม่มีปฏิฆานุสัยกิเลสอีกเลย แม้ว่ายังดับโทสะไม่ได้ แต่เมื่อโทสะเกิด สติก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของโทสะว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่เมื่อสติไม่เกิด ก็ดูราวกับว่าเกิดโทสะอยู่นาน และยึดมั่นโทสะว่าเป็นตัวตน และไม่ได้สังเกตุรู้นามธรรมและรูปธรรมอื่นๆที่ปรากฏ การเจริญสติระลึกรู้สภาพนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะนั้น จะทำให้รู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งไม่เที่ยง และรู้ว่าโทสะเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในสภาพธรรมต่างๆ ชัดแจ้งขึ้น ก็จะครุ่นคิดถึงอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจน้อยลง เพราะเป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป และจะใส่ใจในขณะปัจจุบันมากขึ้น แทนที่จะคิดถึงอดีตหรืออนาคต เราจะเล่าเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นกับตัวเราให้คนอื่นฟังน้อยลง เพราะรู้ว่าจะเป็นปัจจัยให้ทั้งตนเองและคนอื่นสะสมโทสะมากขึ้น เมื่อคนอื่นโกรธเรา เราก็จะเข้าใจสภาพของเขาดีขึ้น เขาอาจจะเหนื่อยหรือไม่สบายก็ได้ คนที่ไม่ดีต่อเรานั้นสมควรได้รับความเมตตา เพราะเขาทำตนเองให้เป็นทุกข์ ความเข้าใจในสภาพธรรมต่างๆ จะทำให้เรามีเมตตากรุณาต่อคนอื่นมากกว่าอื่นใดแทนที่จะเกิดโทสะ
home ปัญหาถาม-ตอบ หนังสือธรรมะ หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน"
|
|