Buddhist Study | บทที่ 7 อวิชชา | |||
"เมื่อยึดมั่น
"โลกที่ปรากฏทาง 6 ทวารเป็นโลกที่มีจริง แต่ไม่ยั่งยืน เป็นโลกที่ไม่เที่ยง"
"เรารู้จักโลกที่
"เมื่ออบรม
"ถ้าไม่เข้าใจ
"โมหะ
"ไม่ควรสับสน
"โมหะไม่ใช่
"โมหะ
|
เราอาจจะรู้ว่าอกุศลจิตขณะใดเป็น โลภมูลจิต หรือเป็น โทสมูลจิต แต่เรารู้ไหมว่าขณะใดเป็น โมหมูลจิต โมหะมีลักษณะอย่างไร เราอาจคิดว่าคนที่มีการศึกษาน้อย คนที่พูดภาษาต่างประเทศไม่ได้ คนที่ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์หรือการเมือง เราเรียกคนที่ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโลกว่าเป็นคนเขลา นั่นเป็นโมหะที่ควรละหรือ ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น กุศลก็จะเกิดมากกับคนที่พูดได้หลายภาษา หรือคนที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์และการเมือง เราสามารถพิจารณาได้ว่านั่นไม่ใช่ความจริง เพื่อที่จะเข้าใจลักษณะของโมหะ เราควรรู้ว่าโมหะไม่รู้ อะไร บ้าง ในชีวิตประจำวันของเรานั้นมีโลกของสมมุติบัญญัติซึ่งใช้คำบัญญัติให้เข้าใจสิ่งต่างๆ และมีโลกของ ปรมัตถธรรม หรือโลกของสภาพธรรม เมื่อเราคิดถึง "โลก" ซึ่งเราบัญญัติขึ้น เราอาจคิดถึงผู้คน สัตว์ วัตถุต่างๆ และเราบัญญัติคำเรียกสิ่งนั้นๆ แต่เรารู้สภาพธรรมต่างๆในตัวเราและรอบๆตัวตามความเป็นจริงแล้วหรือ ว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป โลกของปรมัตถธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง
นามธรรมและรูปธรรมเป็นปรมัตถธรรม
นามธรรมและรูปธรรมซึ่งปรากฏในชีวิตประจำวันของเรานั้น
สามารถรู้ได้ทางปัญจทวารและมโนทวาร
ไม่ว่าจะเรียกนามธรรมและรูปธรรมนั้นว่าอย่างไร
นี่เป็นโลกที่มีจริง
ขณะที่เห็น
เป็นโลกของสิ่งที่ปรากฏทางตา
ขณะที่ได้ยิน เป็นโลกของเสียง
ขณะกระทบสัมผัสสิ่งใดก็เป็นโลกของโผฏฐัพพารมณ์
สิ่งที่ปรากฏทางตาและการเห็นมีจริง
ลักษณะของสภาพธรรมทั้งสองอย่างสามารถจะรู้ได้
ไม่ว่าเราจะ เรียก ว่า
"สิ่งที่ปรากฏทางตา" หรือ
"การเห็น"
หรือแม้จะไม่เรียกว่าอะไรเลยก็ตาม
แต่เมื่อยึดมั่นในความคิดตามคำที่บัญญัติเรียกว่า
"ต้นไม้" หรือ
"เก้าอี้"
ก็ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
เมื่อมองดูต้นไม้
อะไรเป็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง
สภาพธรรมใดสามารถปรากฏให้รู้ได้จริงๆ
สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็น โลกที่ปรากฏทาง 6 ทวารเป็นโลกที่มีจริง แต่ไม่ยั่งยืน เป็นโลกที่ไม่เที่ยง ขณะเห็น เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งดับไปอย่างรวดเร็ว ขณะได้ยิน เป็นโลกของเสียงซึ่งไม่เที่ยง เช่นเดียวกับโลกของกลิ่น โลกของรส โลกของโผฏฐัพพารมณ์ และโลกของธรรมารมณ์ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า เรารู้จักโลกที่เป็นสมมุติบัญญัติเท่านั้น เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) และความเห็นผิดสะสมมานานแสนนาน ความไม่รู้ปรมัตถธรรม เป็นความไม่รู้ที่ต้องละ เพราะนำความทุกข์มาให้ โลกที่เป็นปรมัตถธรรมนั้น
ตามพระธรรมเรียกว่าโลกในอริยวินัย
พระอริยเจ้าได้อบรมเจริญปัญญาจนคมกล้าประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง
พระอริยเจ้ารู้จักโลกตามความเป็นจริง
บางคนอาจจะคิดว่า เขารู้จักตังเองได้อย่างถูกต้องโดยไม่ต้องประจักษ์แจ้งโลกที่ปรากฏทาง 6 ทวาร เขาอาจคิดว่าเขารู้จักความโกรธและความโลภของเขา แต่เขาไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าสภาพธรรมเหล่านั้นเป็นเพียงนามธรรมแต่ละอย่างและไม่ใช่ตัวตน ตราบใดที่เขายังยึดถือสภาพธรรมต่างๆว่าเป็นตัวตน เขาก็ยังไม่รู้จักตัวเองจริงๆ และยังดับกิเลสไม่ได้ ยังคงยึดมั่นในความเห็นผิดว่ามีตัวตน ยังไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมใดๆ เป็นการยากที่จะรู้ว่าขณะใดเป็นโลภะ โทสะ และโมหะ และเป็นการยากที่สติจะระลึกรู้อกุศลธรรมที่ละเอียดยิ่งขึ้น เมื่ออบรมเจริญ "ปัญญา" ก็จะรู้ว่ารู้จักตัวเองน้อยเพียงไร ขณะใดที่โมหะเกิดขึ้น ขณะนั้นก็อยู่ในความมืดบอด พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมด้วยพระมหากรุณาคุณ พระธรรมเป็นดวงประทีปซึ่งทำความมืดให้สิ้นไป ถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรม ก็ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจตังเอง ไม่เข้าใจกุศลกรรม อกุศลกรรม ไม่เข้าใจผลของกรรม และไม่เข้าใจหนทางปฏิบัติที่จะละกิเลส การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าใจลักษณะของโมหะมากขึ้น ในอัฏฐสาลินี
อรรถกถาธัมมสังคณีปกรณ์
โมหะมีหลายขั้น
เมื่อศึกษาพระธรรม
ความไม่รู้เรื่องสภาพธรรมต่างๆ
ก็จะน้อยลง
แต่จะเข้าใจปรมัตถธรรม
กรรมและวิบากมากขึ้น
แต่ก็มิได้หมายความว่า
เราจะสามารถละโมหะได้แล้ว
เพราะโมหะละไม่ได้เพียงด้วยการคิดเรื่องสัจจธรรม
แต่จะละได้ด้วยการอบรมเจริญปัญญา
ซึ่งสามารถรู้แจ้งโลกในอริยวินัย
คือ จักขุ
สิ่งที่ปรากฏทางตา (รูปารมณ์)
จักขุวิญาณ โสต เสียง เมื่อศึกษาพระอภิธรรมก็จะรู้ว่า โมหะเกิดกับอกุศลจิตทุกดวง โลภมูลจิตมีโมหะและโลภะเป็นมูล โทสมูลจิตมีโมหะและโทสะเป็นมูล อกุศลจิต 2 ดวงที่มีโมหะเป็นมูลอย่างเดียว คือ โมหมูลจิต 2 ดวง โมหมูลจิตดวงหนึ่งมีความสงสัย (วิจิกิจฉา) เกิดร่วมด้วย และ โมหมูลจิตดวงหนึ่งมีความไม่สงบ (อุทธัจจะ) เกิดร่วมด้วย เวทนา ที่เกิดกับโมหมูลจิตนั้นเป็น อุเบกขาเวทนา อย่างเดียว โมหมูลจิตไม่มีโลภะหรือโทสะ ไม่มีโสมนัสหรือโทมนัส โมหมูลจิต 2 ดวงเป็นอสังขาริก ไม่ควรสับสนลักษณะของโมหะกับลักษณะของ ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ทิฏฐิ เกิดกับโลภมูลจิต เท่านั้น เมื่อทิฏฐิเกิดขึ้น ก็เห็นว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นเที่ยง หรือยึดถือว่าเป็นตัวตน โมหะไม่ใช่ความเห็นผิด แต่เป็นความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง โมหะเป็นปัจจัยให้เกิดทิฏฐิ แต่ลักษณะของโมหะต่างกับลักษณะของทิฏฐิ โมหมูลจิต 2 ดวง ได้แก่
ขณะที่โมหมูลจิตประกอบด้วย วิจิกิจฉา เกิดขึ้นนั้น มีความสงสัยในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ สงสัยว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้จริงหรือ พระองค์ทรงสอนหนทางปฏิบัติซึ่งนำไปสู่การดับกิเลสได้จริงหรือ มีพระอริยบุคคลที่ตรัสรู้เช่นเดียวกับพระผู้มีพระภาคได้ด้วยหรือ สงสัยเรื่องชาติก่อนและชาติหน้า เรื่องกรรมและวิบาก ความสงสัยมีหลายขั้น เมื่อเริ่มอบรมเจริญปัญญาก็อาจจะสงสัยเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ สงสัยว่าสภาพธรรมนั้นเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เช่น เมื่อมีการได้ยินก็ย่อมมีเสียงด้วย แต่สติจะระลึกรู้สภาพธรรมได้ทีละอย่างเท่านั้น เพราะจิตขณะหนึ่งรู้อารมณ์ได้หนึ่งอารมณ์เท่านั้น ฉะนั้นก็อาจจะสงสัยว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นเป็นนามที่ได้ยินหรือเป็นรูป (เสียง) นามรูปเกิดดับรวดเร็วมาก และเมื่อยังไม่ได้อบรมณ์เจริญปัญญาถึงขั้นประจักษ์ลักษณะที่แตกต่างกันของนามธรรมและรูปธรรมแล้ว ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าสภาพธรรมใดกำลังปรากฏ จะยังสงสัยในโลกของปรมัตถธรรม จนกว่าปัญญาจะรู้ชัดในลักษณะของนามและรูปขณะที่ปรากฏทาง 6 ทวาร ในอัฏฐสาลินี
อรรถกถาธัมมสังคณีปกรณ์
วิจิกิจฉาต่างกับทิฏฐิ เมื่อทิฏฐิเกิดขึ้นนั้นมีความยึดมั่นว่า สภาพธรรมเที่ยงหรือเป็นตัวตน เป็นต้น เมื่อวิจิกิจฉาเกิดขึ้น มี ความสงสัย ว่า นามต่างกับรูปหรือไม่ มีตัวตนหรือไม่ สภาพธรรมเที่ยงหรือไม่เที่ยง ไม่มีหนทางอื่นใดที่จะดับวิจิกิจฉาได้ นอกจากอบรมเจริญปัญญาซึ่งประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ผู้ที่สงสัยว่าพระผู้มีพระภาคมีจริงหรือไม่ และสงสัยในคำสอนของพระองค์ อาจคิดว่าความสงสัยจะหมดไปได้ด้วยการศึกษาเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ เขาอยากจะรู้รายละเอียดในสมัยพระผู้มีพระภาคและสถานที่ที่พระองค์จาริกไป เขาอยากจะรู้ว่าคำสอนของพระองค์จารึกไว้เมื่อใดแน่ แต่เขาก็ไม่หมดความสงสัยได้ ด้วยการศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ เพราะไม่ทำให้บรรลุจุดหมายในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท คนในสมัยพุทธกาลก็คาดฝันในสิ่งที่ไม่นำไปสู่จุดหมายของพระธรรม
เขาสงสัยว่า
โลกมีที่สุดหรือไม่มีที่สุด
โลกเที่ยงหรือไม่เที่ยงพระผู้มีพระภาคทรงมีพระชนม์อยู่หลังจากทรงดับขันธปรินิพพานแล้วหรือไม่
ในมัชฌิมนิกาย
มัชฌิมปัณณาสก์
จูฬมาลุงโกยวาทสูตร
มีข้อความว่า ท่านพระ
ท่านพระมาลุงกยบุตรทูลตอบว่า
"ไม่ใช่อย่างนั้นพระเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านต่อไปว่า
ท่านได้เคยทูลพระองค์ว่า
ตนจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคถ้าพระผู้มีพระภาคจักทรงพยากรณ์ทิฐิเหล่านี้แก่ท่านหรือ
ความสงสัย (วิจิกิจฉา) จะหมดไม่ได้ด้วยการคาดคะเนเรื่องต่างๆที่ไม่ได้ทำให้ดับกิเลส แต่จะหมดไปได้ด้วยการระลึกรู้นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ แม้ว่าจะเกิดสงสัยก็สามารถรู้ได้ว่า (ความสงสัย) เป็นเพียงนามธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและไม่ใช่ตัวตน ด้วยเหตุนี้ความรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏจึงจะชัดเจนยิ่งขึ้น โมหมูลจิตดวงที่สองเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนาประกอบด้วยอุทธัจจะ
โดยศัพท์ อุทธัจจะ
หมายถึง สภาพไม่สงบ
หรือ ฟุ้งซ่าน จิตที่มี อุทธัจจะ เป็นกุศลไม่ได้ ขณะนั้นจะไม่ให้ทานรักษาศีล หรือเจริญภาวนา อุทธัจจะทำให้จิตฟุ้งจากกุศลธรรม อุทธัจจะ เป็น สภาพธรรมที่ไม่สงบอยู่ในกุศลธรรม ฉะนั้นอุทธัจจะจึงต่างจากที่พูดกันทั่วไปว่าความกระวนกระวาย อุทธัจจะ
เกิดกับโมหมูลจิตที่มีวิจิกิจฉาเกิดร่วมด้วย
เพราะ อุทธัจจะ
เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง โมหมูลจิตดวงที่สองคืออุทธัจจสัมปยุตต์นั้นเกิดขึ้นนับไม่ถ้วนในวันหนึ่งๆ
แต่ก็ยากที่จะรู้ลักษณะของจิตดวงนี้
ถ้าไม่อบรมเจริญวิปัสสนาก็จะไม่รู้ลักษณะของโมหมูลจิตดวงนี้
ขณะที่ไม่ระลึกรู้สภาพธรรมและเพ้อฝันนั้นไม่ใช่จิตดวงนี้ก็ได้
ขณะคิดฝันนั้นไม่ได้มีแต่โมหมูลจิตอุทธัจจสัมปยุตต์เท่านั้น
แต่มีโลภมูลจิตหรือโทสมูลจิตด้วย
ขณะที่ไม่ระลึกรู้สภาพธรรมและอกุศลจิต
ขณะนั้นไม่ใช่โลภมูลจิต
ไม่ใช่โทสมูลจิต
ไม่ใช่โมหมูลจิต โมหมูลจิตเกิดขณะที่รู้อารมณ์ทางทวารใดทวารหนึ่งใน 6 ทวาร เช่น ขณะได้ยินเสียง โมหมูลจิตก็อาจจะเกิด ขณะที่โมหมูลจิตดวงที่สองซึ่งเป็นอุทธัจจสัมปยุตต์เกิดนั้นจะไม่รู้สภาพของอารมณ์ขณะนั้น เราอาจไม่เห็นโทษของโมหมูลจิตดวงนี้เพราะเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา แต่อกุศลจิตทุกประเภทเป็นโทษ โมหะเป็นโทษเพราะเป็นมูลของอกุศลธรรมทั้งปวง พระโสดาบันบุคคล
(ผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมขั้นแรก)
ดับโมหมูลจิตวิจิกิจฉาสัมปยุตต์ได้เป็นสมุจเฉท
ท่านไม่มีความสงสัยในปรมัตถธรรมอีกเลย
ท่านรู้จักโลกในอริยวินัย
ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงในพระผู้มีพระภาค
พระธรรม และพระสงฆ์
ไม่สงสัยในมัคคปฏิปทาซึ่งนำไปสู่ความดับกิเลส
พระโสดาบันบุคคล
พระสกทาคามีบุคคล อวิชชา
ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ไม่รู้อริยสัจจ์ 4
เพราะอวิชชาจึงไม่รู้ในอริยสัจจ์ข้อที่หนึ่ง
คือ ทุกข์อริยสัจจ์
ไม่ประจักษ์ว่านามธรรมและรูปธรรมไม่เที่ยงและเป็นทุกข์
ไม่รู้อริยสัจจ์ข้อที่สอง
คือ ตัณหา
ซึ่งเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์
เพราะติดข้องในนามและรูป
สังสารวัฏฏ์ ในสังยุตตนิกาย สุตตนิบาต
สฬายตนวรรค
home ปัญหาถาม-ตอบ หนังสือธรรมะ หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน"
|
|