Buddhist Study | บทที่ 9 อเหตุกจิตที่ไม่มีใครรู้ในชีวิตประจำวัน | |||
"วิบากจิตที่
"รูปธรรมดับ
"จิตที่รู้อารมณ์
"สัมปฏิจ-
"อเหตุกวิบากจิต
"อเหตุกจิตเป็น
"จิตซึ่งรู้
"พระอรหันต์
|
อเหตุกจิต หรือจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ มี 18 ดวง (ประเภท) เป็นวิบากจิต 15 ดวง ใน 15 ดวงนี้ เป็นทวิปัญจวิญญาณจิต 10 ดวง คือ
จักขุวิญญาณจิตเป็นผลของกรรม เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรมจักขุวิญญาณก็เป็นอกุศลวิบากที่เห็นอนิฏฐารมณ์ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม จักขุวิญญาณก็เป็นกุศลวิบากที่เห็นอิฏฐารมณ์ จักขุวิญญาณทำกิจรู้รูปารมณ์ กรรมที่เป็นปัจจัยให้จักขุวิญญาณเกิดนั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยให้เฉพาะจักขุวิญญาณจิตเกิดเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยให้วิบากจิตอีก 2 ดวงเกิดสืบต่อจากจักขุวิญญาณ วิบากจิตที่ รับรู้ รูปารมณ์สืบต่อจากจักขุวิญญาณนั้นชื่อว่า สัมปฏิจฉันนจิต เมื่อจักขุวิญญาณดับไปแล้ว รูปารมณ์ซึ่งเป็นอารมณ์ของจัขุวิญญาณยังไม่ดับ เพราะรูปารมณ์เป็นรูป รูปธรรมดับช้ากว่านามธรรม เมื่ออารมณ์ปรากฏทางทวารหนึ่งทวารใดใน 6 ทวาร จิตที่รู้อารมณ์นั้นไม่ใช่เพียงดวงเดียว แต่มี วิถีจิต หลายขณะเกิดดับสืบต่อกันและรู้อารมณ์เดียวกันนั่นเอง ถ้าจักขุวิญญาณเป็นอกุศลวิบาก
สัมปฏิจฉันนจิตก็เป็นอกุศลวิบาก
ถ้าจักขุวิญญาณเป็นกุศลวิบาก
สัมปฏิจฉันนจิตก็เป็นกุศลวิบาก
สัมปฏิจฉันนจิตเกิดร่วมกับ อุเบกขาเวทนา ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสัมปฏิจฉันนจิตอกุศลวิบาก หรือกุศลวิบาก เมื่อปฏิจฉันนจิตเกิดขึ้นและดับไปแล้ว
วิถีจิตก็ยังเกิดสืบต่อไปอีก
อเหตุกวิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมอีกดวงหนึ่งที่เกิดสืบต่อสัมปฏิจฉันนจิตนั้นเรียกว่า
สันตีรณจิต สันตีรณจิต พิจารณา
อารมณ์ที่รับต่อจากสัมปฏิจฉันนะ
สันตีรณจิตเกิดต่อจากสัมปฏิจฉันนจิตทางปัญจทวาร สันตีรณจิต เป็น อเหตุกวิบากจิต
เมื่ออารมณ์เป็นอนิฏฐารมณ์
สันตีรณจิตก็เป็นอกุศลวิบากเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา
ส่วนสันตีรณจิตที่เป็นกุศลวิบากนั้นมี
2 ดวง
เมื่ออารมณ์เป็นอิฏฐารมณ์ธรรมดาๆ
สันตีรณจิตก็เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา
เมื่ออารมณ์เป็นที่น่าพอใจยิ่ง
(อติอิฏฐารมณ์) ด้วยเหตุนี้จึงมีอเหตุกวิบากจิต 15 ดวง กล่าวโดยย่อดังนี้ ทวิปัญจวิญญาณจิต (5) คู่
10 ดวง อเหตุกจิตเป็นอกุศลวิบาก 7 ดวง และเป็น กุศลวิบาก 8 ดวง เพราะสันตีรณจิตกุศลวิบากมี 2 ดวง ตามที่ทราบแล้วว่า อเหตุกจิตทั้งหมดมี 18 ดวง เป็น วิบากจิต 15 ดวง และเป็น กิริยาจิต 3 ดวง กิริยาจิตต่างกับอกุศลจิต กุศลจิต และวิบากจิต อกุศลจิตและกุศลจิตเป็นจิตที่เป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดีบ้าง ที่ดีบ้าง ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดผลสมควรแก่เหตุนั้นๆ วิบากจิตเป็นผลของอกุศลกรรมและกุศลกรรม กิริยาจิตเป็นจิตที่ไม่ใช่เหตุและไม่ใช่ผล อเหตุกกิริยาจิตดวงหนึ่งภาษาบาลีเรียกว่า
จิตแต่ละดวงซึ่งเกิดดับสืบต่อ รู้อารมณ์เดียวกันมีกิจเฉพาะตนๆ จิตซึ่งรู้อารมณ์ทางทวารใดทวารหนึ่งจะรู้อารมณ์นั้นเพียงอารมณ์เดียว เช่น ขณะที่อ่านหนังสือ จิตซึ่งทำกิจเห็นจะรู้รูปารมณ์เท่านั้น ไม่รู้ความหมายของตัวหนังสือ เมื่อจักขุทวารวิถีจิตดับไปแล้ว มโนทวารวิถีจิตจะรับรู้รูปารมณ์นั้นต่อ และหลังจากนั้นมโนทวารวิถีจิตวาระอื่นก็เกิดขึ้น รู้ความหมายและคิดเรื่องที่อ่านนั้น ฉะนั้นจึงมีวิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารใดทวารหนึ่งใน 5 ทวาร และมีวิถีจิตที่รู้อารมณ์ทางมโนทวาร อเหตุกกิริยาจิต
อีกดวงหนึ่งคือ มโนทวาราวัชชนจิต
(จิตที่รู้อารมณ์ที่กระทบมโนทวาร)
ซึ่งเกิดขึ้นทั้งทางปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถี
แต่ กระทำกิจต่างกัน
เพราะเกิดต่างวิถี
คือเมื่ออารมณ์กระทบทวารใดทวารหนึ่งใน
5 ทวาร เมื่อปัญจทวารวิถีจิตดับไปแล้ว
มโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นต่อ
มโนทวาราวัชชนจิต
เป็นจิตดวงแรกในมโนทวารวิถีที่รู้อารมณ์ที่เพิ่งดับไปนั้น
ในปัญจทวารวิถี
ปัญจทวาราวัชชนจิตรู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับ
เช่น ปัญจทวาราวัชชนจิตรู้ แม้ว่าโวฏฐัพพนจิตทางปัญจทวารวิถี และมโนทวาราวัชชนจิตทางมโนทวารวิถี เป็นอเหตุกกิริยาจิตประเภทเดียวกัน แต่กิจของจิตสองดวงนี้ต่างกัน จิตดวงนี้ทำ โวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวารวิถี และทำ อาวัชชนกิจทางมโนทวารวิถี ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงมโนทวาราวัชชนจิต ต้องรู้ว่าทำกิจอะไรด้วย เมื่อเสียงกระทบโสตปสาท โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรู้เสียงดับไปหมดแล้ว มโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้นรู้เสียงที่เพิ่งดับไปนั้นต่อวิถีจิตทางปัญจทวาร วิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางปัญจทวารและทางมโนทวารเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว จะมีอกุศลจิตหรือกุศลจิตเกิดทางปัญจทวารได้อย่างไรในเมื่อยังไม่รู้ว่าอารมณ์นั้นเป็นอะไร อกุศลจิตหรือกุศลจิตเกิดก่อนที่จะรู้ว่าอารมณ์นั้นเป็นอะไรได้ ซึ่งพอจะเปรียบได้กับการที่เด็กเล็กๆชอบของที่มีสีสดใส เช่น ลูกโป่ง โดยยังไม่รู้ว่าเป็นลูกโป่ง โลภะหรือโทสะในอารมณ์นั้นย่อมเกิดได้ก่อนที่จะรู้ว่าอารมณ์นั้นเป็นอะไร อเหตุกกิริยาจิตอีกดวงหนึ่ง
คือ หสิตุปปาทจิต
(จิตที่ทำให้เกิดการแย้มยิ้ม)
พระอรหันต์เท่านั้นที่มีจิตประเภทนี้
การหัวเราะและการยิ้มเกิดจากจิตหลายประเภท
บุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์ย่อมยิ้มเพราะโลภะหรือกุศลจิตเป็นปัจจัย
พระอรหันต์ไม่มีกิเลสเลย
ท่านจึงไม่มีทั้งอกุศลจิตและกุศลจิต
ไม่มีกรรมใดๆอีกต่อไป
พระอรหันต์มี โสภณกิริยาจิต
ซึ่งประกอบด้วยโสภณเหตุแทนกุศลจิต
พระอรหันต์ไม่หัวเราะ
เพราะดับเหตุที่จะให้หัวเราะ
ท่านเพียงแต่ยิ้มเท่านั้น
ขณะที่พระอรหันต์ยิ้มนั้น ฉะนั้น อเหตุกจิต 18 ดวง จึงเป็นวิบากจิต 15 ดวง และเป็นกิริยาจิต 3 ดวง อเหตุกกิริยาจิต 3 ดวง คือ
ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีอเหตุกจิตเพียง 17 ดวงเท่านั้น อเหตุกจิต 17 ดวงนี้เกิดในชีวิตประจำวันของเรา เมื่ออารมณ์กระทบทวารหนึ่งทวารใดในปัญจทวาร ปัญจทวาราวัชชนจิตรู้อารมณ์ที่กระทบทวาร เมื่อจิตดวงนี้ดับไปแล้ว ปัญจวิญญาณจิตดวงหนึ่งเกิดต่อทำกิจรู้อารมณ์ แล้วสัมปฏิจฉันนจิตเกิดทำกิจรับอารมณ์ต่อจากปัญจวิญญาณ แล้วสันตีรณจิตเกิด ทำกิจพิจารณาอารมณ์ต่อจากสัมปฏิจฉันนจิต แล้วโวฏฐัพพนจิตก็เกิดขึ้นกำหนดอารมณ์ แล้วอกุศลจิตหรือกุศลจิตก็เกิดต่อ เมื่อปัญจทวารวิถีจิตดับไปหมดแล้ว มโนทวารวิถีก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นต่อ โดยมโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์กระทบทางมโนทวารแล้ว ต่อจากนั้นอกุศลจิตหรือกุศลจิตก็เกิดสืบต่อ ถ้าอกุศลจิตเกิดก็มีการพิจารณาไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) ถ้ากุศลจิตเกิดก็มีการพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) เช่น เมื่อเห็นแมลง โทสมูลจิต (จิตที่มีโทสะเป็นมูล) อาจเกิดขึ้น ขณะนั้นมีอโยนิโสมนสิการ โทสะอาจแรงกล้าถึงกับต้องการฆ่าแมลงนั้น ซึ่งก็เป็นอกุศลกรรม แต่ถ้าระลึกได้ว่าการฆ่าเป็นอกุศล แล้วละเว้นการฆ่า ขณะนั้นเป็นกุศลจิต จึงมีโยนิโสมนสิการ การศึกษาพระธรรมและการอบรมเจริญปัญญาจะเป็นปัจจัยให้โยนิโสมนสิการเกิด ขณะที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมที่ปรากฏทางทวารหนึ่งทวารใดใน 6 ทวาร ขณะนั้นมีโยนิโสมนสิการ บุคคลสองคนในสถานการณ์เดียวกัน
คนหนึ่งอาจมีอโยนิโสมนสิการ
อีกคนหนึ่งอาจมีโยนิโสมนสิการ
ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล
ในสังยุตตนิกายสฬายตนวรรค
home ปัญหาถาม-ตอบ หนังสือธรรมะ หมายเหตุ:
คัดลอกจากหนังสือ
"พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน"
|
|